เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ท่ามกลางรายงานสถานการณ์น้ำในเขื่อนหลักทั่วประเทศที่ลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย ที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “แผนจัดการน้ำแห่งชาติฉบับเผชิญเหตุ” เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น “วิกฤตภัยแล้ง” ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี อันเป็นผลมาจากภาวะเอลนีโญกำลังแรง การประกาศแผนครั้งนี้มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะบูรณาการข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่สำหรับประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่เผชิญกับความแห้งแล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าแผนนี้มีอะไรบ้าง แต่คือแผนนี้จะแตกต่างและดีกว่าแผนในอดีตได้อย่างไร
บทความนี้จะเจาะลึกไปไกลกว่าเอกสารแถลงข่าวของรัฐบาล โดยจะวิเคราะห์องค์ประกอบของแผน ฉบับล่าสุด เปรียบเทียบกับความพยายามในอดีต พร้อมนำเสนอเสียงจริงจากผู้ที่กำลังจะจมไปกับวิกฤต และมุมมองเฉียบคมจากนักวิชาการ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการบริหารจัดการน้ำ หรือเป็นเพียงการจัดอีเวนต์สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ อีกครั้ง
เปิดไส้ใน ‘แผนจัดการน้ำแห่งชาติ’ ฉบับใหม่ มีอะไรต่างจากเดิม?
จากข้อมูลของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แผนฉบับใหม่นี้ถูกออกแบบมาให้เป็น “แผนเชิงรุก” ที่เน้นการพยากรณ์และป้องกัน แทนที่การตั้งรับเหมือนในอดีต โดยมีเสาหลัก 4 ประการที่ถูกชูให้เป็นความหวังใหม่
- การบริหารจัดการอุปทานน้ำ (Supply Management)
- เร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ
- เพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำของเขื่อนหลักผ่านระบบ AI พยากรณ์อากาศ
- ปฏิบัติการ ฝนหลวง ในพื้นที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมและแบบจำลองสภาพอากาศ
- การบริหารจัดการอุปสงค์น้ำ (Demand Management)
- ส่งเสริมให้เกษตรกรในเขตชลประทานปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อย พร้อมมีมาตรการชดเชย
- ควบคุมการปล่อยน้ำสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด
- รณรงค์การประหยัด น้ำอุปโภคบริโภค ในเขตเมืองอย่างจริงจัง
- การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
- จัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการน้ำอัจฉริยะ” (Smart Water Command Center) เพื่อรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานแบบเรียลไทม์
- ใช้โดรนและภาพถ่ายดาวเทียมสำรวจพื้นที่เกษตรที่ได้รับความเสียหายเพื่อการช่วยเหลือที่ตรงจุด
- การสร้างความร่วมมือและกฎหมาย
- บังคับใช้ พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะการจัดสรรน้ำระดับลุ่มน้ำ
- สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม
สิ่งที่ดูเหมือนจะแตกต่างคือการเน้นย้ำเรื่อง “Single Command” หรือการมีศูนย์บัญชาการเดียวที่ สทนช. เพื่อลดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันระหว่างหน่วยงานอย่าง กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการประปาฯ
เสียงจากต้นน้ำ ความหวังของเกษตรกรท่ามกลางความแห้งแล้ง
แม้แผนบนกระดาษจะดูสวยหรู แต่สำหรับผู้ที่เท้าเหยียบอยู่บนผืนดินที่แตกระแหง ความหวังกลับเจือปนด้วยความคลางแคลงใจ
นายสมศักดิ์ อินทร์พงษ์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในทุ่งเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ ถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “ผมทำนามา 30 ปี ได้ยินแผนแก้ภัยแล้งมาไม่รู้กี่รัฐบาลแล้ว ทุกปีก็เหมือนเดิม พอถึงเวลา น้ำในคลองส่งน้ำก็ไม่มีให้ใช้ สุดท้ายก็ต้องไปเจาะบ่อบาดาล สู้กันไปตามยถากรรม ปีนี้เขาบอกจะแล้งหนัก ก็ยังไม่เห็นมีใครลงมาบอกเราชัดๆ เลยว่าจะให้ทำอะไร จะช่วยเรายังไง ได้แต่ดูข่าวจากทีวี แล้วก็ภาวนา”
มุมมองของนายสมศักดิ์สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่เรื่องน้ำ นั่นคือ “ช่องว่างของการสื่อสาร” ระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับผู้ปฏิบัติจริง แม้จะมีโครงการส่งเสริมให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย แต่เกษตรกรจำนวนมากยังขาดความรู้ ขาดตลาดรองรับ และขาดเงินทุนในการปรับเปลี่ยน
มุมมองนักวิชาการ แผนสวยหรูบนกระดาษ สู่บททดสอบการปฏิบัติจริง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการทรัพยากรน้ำมองว่า แผนจัดการน้ำแห่งชาติ ฉบับนี้มีความครอบคลุมและใช้หลักการที่ทันสมัย แต่ความสำเร็จยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า “แผนนี้ดีในเชิงหลักการ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินใจ แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดและเป็นปัญหาเดิมๆ คือ ‘การนำไปปฏิบัติ’ (Implementation) เรามีหน่วยงานเกี่ยวกับน้ำมากกว่า 20 หน่วยงานที่ยังทำงานในลักษณะไซโล (Silo) คือต่างคนต่างทำ การจะมี Single Command ที่ สทนช. นั้นถูกต้องแล้ว แต่จะสั่งการหน่วยงานใหญ่ๆ อย่างกรมชลประทานได้จริงหรือ? และที่สำคัญ การบังคับใช้กฎหมายยังอ่อนแอมาก การจัดสรรน้ำยังคงขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองในพื้นที่มากกว่าหลักการทางวิชาการ”
ดร.เสรี ย้ำว่า “บททดสอบที่แท้จริงจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เมื่อน้ำในเขื่อนหลักลดถึงระดับวิกฤต เราจะได้เห็นว่าศูนย์บัญชาการน้ำอัจฉริยะจะทำงานได้จริงหรือไม่ และแผนที่วางไว้จะถูกนำไปใช้อย่างเคร่งครัดแค่ไหน”
บทสรุป เดิมพันอนาคตบนความไม่แน่นอน
วิกฤตภัยแล้ง ที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นบททดสอบสำคัญต่อประสิทธิภาพและความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน แผนจัดการน้ำแห่งชาติ ฉบับล่าสุดคือความหวังที่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง มันเต็มไปด้วยยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
แต่หากปราศจากการลงมือปฏิบัติที่เด็ดขาด การทลายกำแพงระหว่างหน่วยงาน และการสื่อสารที่เข้าถึงหัวใจของเกษตรกร แผนที่สวยหรูนี้ก็อาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากแผนในอดีต คือถูกลืมเลือนไปพร้อมกับสายน้ำที่แห้งเหือด ทิ้งไว้เพียงความเสียหายทางเศรษฐกิจและความทุกข์ยากของประชาชนที่ต้องเผชิญชะตากรรมตามลำพังต่อไป
แหล่งที่มาจาก : immersia