เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติสำคัญที่อาจเป็นตัวชี้ขาดอนาคตของภาคใต้และประเทศไทย ด้วยการอนุมัติงบประมาณสำหรับการศึกษาและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในเฟสสุดท้ายของเมกะโปรเจกต์ “แลนด์บริดจ์” ซึ่งเชื่อมโยงทะเลอันดามันและอ่าวไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณ “เดินหน้าเต็มกำลัง” ของรัฐบาล ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่คาดหวังว่านี่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ และเสียงคัดค้านที่กังวลว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะทางสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตที่ไม่อาจหวนคืน
บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญของการอนุมัติงบประมาณครั้งล่าสุดนี้ วิเคราะห์เดิมพันทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลคาดหวัง พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกฝ่าย ทั้งผู้สนับสนุน นักลงทุน และที่สำคัญคือเสียงจากคนในพื้นที่ จังหวัดระนองและชุมพร ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก โครงการ เพื่อหาคำตอบว่าก้าวต่อไปของประเทศไทยกำลังจะมุ่งสู่ทิศทางใด
“แลนด์บริดจ์” คืออะไร? ทบทวนเมกะโปรเจกต์ 1 ล้านล้านบาท
โครงการแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่แค่การสร้างถนนหรือทางรถไฟ แต่คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดมหึมา เพื่อสร้างเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลแห่งใหม่ของโลก ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน
- ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดระนอง สร้างขึ้นเพื่อรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่จากมหาสมุทรอินเดีย ทะเลแดง และยุโรป
- ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดชุมพร สร้างขึ้นเพื่อรองรับเรือสินค้าที่จะเดินทางต่อไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
- ระบบขนส่งเชื่อมโยง (Land Bridge) เส้นทางมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างท่าเรือทั้งสองแห่ง เพื่อขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
แนวคิดหลักคือการเป็น “ทางลัด” ที่จะลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้า ไม่ต้องอ้อมผ่าน ช่องแคบมะละกา ที่ปัจจุบันมีความหนาแน่นสูงและมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะสร้างงานได้กว่า 280,000 ตำแหน่ง และผลักดันให้ GDP ของประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5.5% ต่อปีเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์
เดิมพันอนาคตชาติ เสียงจากฝ่ายหนุนและความหวังทางเศรษฐกิจ
ฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะจากภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่ มองว่า แลนด์บริดจ์ คือคำตอบของอนาคตเศรษฐกิจไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวย้ำถึงความจำเป็นของโครงการนี้ว่า “นี่ไม่ใช่โครงการสำหรับวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่เป็นโครงการสำหรับลูกหลานของเราในอีก 20-30 ปีข้างหน้า เป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานให้กับประเทศ การมีเส้นทางขนส่งเป็นของตัวเองจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดึงดูดการลงทุนมหาศาล และยกระดับ เศรษฐกิจภาคใต้ ทั้งหมด”
สอดคล้องกับความเห็นจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่ระบุว่า โครงการนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม, เขตการค้าเสรี, และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น การซ่อมบำรุงเรือ และคลังสินค้า
“นักลงทุนจากทั่วโลกกำลังจับตาดูโครงการนี้อย่างใกล้ชิด การอนุมัติงบศึกษา EHIA ครั้งสุดท้าย คือการสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยเอาจริง นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด” ตัวแทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าว
เสียงที่ต้องฟัง ความกังวลจากคนในพื้นที่และนักอนุรักษ์
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งของเหรียญคือความกังวลอย่างหนักของประชาชนในพื้นที่และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่ก่อสร้างโครงการทับซ้อนอยู่บนพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ทั้งป่าชายเลน แหล่งหญ้าทะเล และแนวปะการัง ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินและเป็นเกราะป้องกันภัยธรรมชาติให้กับชุมชนชายฝั่ง
นายสมชาย มีสุข ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านจากจังหวัดระนอง กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “ทะเลคือชีวิตของเรา คือหม้อข้าวของครอบครัว เขาพูดถึงตัวเลขเป็นล้านล้าน แต่ไม่เคยมีใครมาพูดกับเราว่าถ้าทะเลพังไป เราจะอยู่อย่างไร ท่าเรือน้ำลึกที่จะสร้างอาจทำให้สัตว์น้ำเปลี่ยนทิศทางหรือหายไปทั้งหมด แล้วพวกเราจะทำมาหากินอะไร”
ความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องที่เลื่อนลอย เพราะรายงานเบื้องต้นจากนักวิชาการด้านสมุทรศาสตร์ชี้ว่า การขุดลอกร่องน้ำลึกและการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือ อาจเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำและระบบนิเวศทางทะเลอย่างถาวร
EHIA เฟสสุดท้าย บทพิสูจน์ความจริงใจหรือแค่ “ตรายาง”?
การอนุมัติงบประมาณเพื่อศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EHIA) ในเฟสสุดท้าย จึงกลายเป็นเวทีสำคัญที่ทุกฝ่ายกำลังจับตามอง นี่คือกระบวนการทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดที่จะชี้ว่าโครงการนี้ควรเดินหน้าต่อหรือไม่
ดร. ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้ทัศนะว่า “หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมีรายงาน EHIA แต่อยู่ที่เนื้อหาและความเป็นอิสระของรายงานฉบับนั้น กระบวนการรับฟังความคิดเห็นต้องเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่จัดเวทีตามพิธีกรรม EHIA จะต้องตอบคำถามที่สังคมกังวลให้ได้ทั้งหมด ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ หากทำแบบขอไปที ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้กฎหมายเป็นเพียง ‘ตรายาง’ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการเท่านั้น”
นี่คือบทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ว่าจะให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชนและคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติมากน้อยเพียงใด
บทสรุป ก้าวย่างบนเส้นด้าย
การเดินหน้า โครงการ ของรัฐบาลในขณะนี้ เปรียบเสมือนการเดินบนเส้นด้ายที่บางเฉียบ ด้านหนึ่งคือความหวังที่จะพลิกโฉมประเทศสู่การเป็นมหาอำนาจทางโลจิสติกส์ พร้อมกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่อีกด้านหนึ่งคือความเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่อย่างถาวร
การศึกษา EHIA เฟสสุดท้าย จึงไม่ใช่แค่รายงานทางเทคนิค แต่เป็นบทพิสูจน์คุณธรรมและวิสัยทัศน์ของผู้มีอำนาจตัดสินใจของประเทศ อนาคตของภาคใต้และประเทศไทยแขวนอยู่บนผลการศึกษาครั้งนี้ และไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด มันจะกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยไปอีกนานแสนนาน
แหล่งที่มาจาก : immersia