เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติครั้งประวัติศาสตร์ อนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 5.1 พันล้านบาท ให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ไทยอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับภารกิจนี้ ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะสามารถเปลี่ยน “ทุนวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “ทุนทางเศรษฐกิจ” ที่ยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามสำคัญว่า งบประมาณมหาศาลนี้จะถูกจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด และจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงหรือไม่
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังตัวเลข 5.1 พันล้านบาท วิเคราะห์การกระจายงบประมาณสู่ 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมสำรวจเสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความท้าทายสำคัญในการวัดผลความสำเร็จ เพื่อให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า นโยบาย Soft Power ไทย กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด
เปิดรายละเอียดงบ 5.1 พันล้าน Soft Power ไทยจะไปทางไหน?
ภายใต้การบริหารของ THACCA (Thailand Creative Content Agency) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ งบประมาณ 5.1 พันล้านบาทนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขกลมๆ แต่คือแผนการลงทุนที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อผลักดันให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ
- พัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem Development) สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของบุคลากรและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
- ส่งเสริมและผลักดัน (Promotion & Expansion) นำเสนอวัฒนธรรมและสินค้าสร้างสรรค์ของไทยสู่ตลาดโลก
- สร้างทักษะและบุคลากร (Skill & Talent Development) ยกระดับศักยภาพของคนไทยผ่านโครงการเรือธงอย่าง “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” (OFOS)
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า งบประมาณก้อนนี้จะถูกเน้นไปที่การสร้างโครงการที่สามารถต่อยอดได้จริง ไม่ใช่การจัดอีเวนต์แบบฉาบฉวยแล้วจบไป “เราต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การสร้างงาน สร้างรายได้ และที่สำคัญคือการทำให้แบรนด์ประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้นในเวทีสากล” นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวในที่ประชุม
เจาะลึก 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ใครได้เท่าไหร่?
หัวใจสำคัญของ นโยบาย Soft Power คือการพุ่งเป้าไปที่ 11 อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับแต่ละสาขา แต่ข้อมูลเบื้องต้นระบุถึงแนวทางการกระจายงบดังนี้
- กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก (Major Focus)
- อาหาร (Food) ได้รับงบประมาณสูงสุด เพื่อผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลก ส่งเสริมการเปิดร้านอาหารไทยในต่างแดน และพัฒนามาตรฐานเชฟไทย
- ภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ (Film & Series) เน้นการสนับสนุนกองถ่ายทำจากต่างประเทศ (Incentive Program) และการสร้างสรรค์คอนเทนต์ไทยเพื่อส่งออกสู่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก
- แฟชั่น (Fashion) สนับสนุนดีไซเนอร์ไทยในการเข้าร่วมงานแฟชั่นวีคระดับนานาชาติ และส่งเสริมการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการออกแบบ
- กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพสูง (High Potential)
- มวยไทย (Muay Thai) จัดทำหลักสูตรมาตรฐานสากลและโปรโมตค่ายมวยไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงกีฬา
- เทศกาล (Festival) ยกระดับเทศกาลประเพณีไทย เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง ให้กลายเป็นอีเวนต์ระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
- เกม (Gaming) สนับสนุนสตูดิโอเกมไทยในการพัฒนาเกมที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยและแข่งขันในตลาดสากลได้
- กลุ่มอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industries)
- หนังสือ (Book)
- ดนตรี (Music)
- ศิลปะ (Arts)
- การออกแบบ (Design)
- การท่องเที่ยว (Tourism)
การจัดสรรงบประมาณในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างอุตสาหกรรมที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว กับอุตสาหกรรมดาวรุ่งที่ต้องการแรงสนับสนุนเพื่อเติบโต
จาก “OFOS” สู่เศรษฐกิจจริง ความหวังและเสียงสะท้อนจากคนตัวเล็ก
หนึ่งในโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์” (OFOS) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ Upskill และ Reskill คนไทยกว่า 20 ล้านคนให้มีทักษะสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างรายได้ได้จริง งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาระบบลงทะเบียน คัดเลือก และจัดอบรม
“ดิฉันทำอาหารเหนือขายในหมู่บ้านมา 10 ปี พอได้ยิน โครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ก็มีความหวังว่าจะได้เรียนรู้การทำอาหารไทยภาคอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งการทำแพ็กเกจจิ้งสวยๆ เพื่อขายออนไลน์ ถ้ามีคนมาสอนให้จริงๆ มันคงจะดีมาก” นางสมศรี แก้วมาลา ผู้ประกอบการรายย่อยจากจังหวัดเชียงใหม่กล่าว
ในขณะที่ฝั่ง อุตสาหกรรมภาพยนตร์ นายอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์รางวัลปาล์มทองคำ ได้ให้ความเห็นว่า “งบประมาณเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเสรีภาพในการแสดงออกและการสร้างระบบนิเวศที่โปร่งใส การสนับสนุนควรไปถึงมือคนทำหนังตัวจริง ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่บริษัทใหญ่”
เสียงสะท้อนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ นโยบาย Soft Power ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับกลไกการกระจายโอกาสที่ทั่วถึงและเป็นธรรมด้วย
ความท้าทายและเสียงจากนักวิชาการ การวัดผลที่จับต้องได้
แม้ งบประมาณ Soft Power จะสร้างความตื่นตัวอย่างมาก แต่ก็มีความท้าทายสำคัญรออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะประเด็น “การวัดผล”
รศ.ดร.พิรงรอง รามสูต จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตว่า “Soft Power เป็นแนวคิดที่จับต้องยาก การวัดผลจึงไม่สามารถใช้แค่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ (KPIs) แบบเดิมๆ เช่น มูลค่าการส่งออก หรือจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องวัดผลในเชิงคุณภาพด้วย เช่น การรับรู้ภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาชาวโลกที่ดีขึ้น หรือการจัดอันดับดัชนีซอฟต์พาวเวอร์โลกที่สูงขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง”
ความท้าทายหลัก 3 ประการที่รัฐบาลและ THACCA ต้องเผชิญคือ
- ความต่อเนื่องของนโยบาย การสร้าง Soft Power เป็นภารกิจระยะยาวที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล
- การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน THACCA ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ กว่า 10 กระทรวง ซึ่งอาจเกิดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน
- การสร้างการยอมรับจากภายใน ต้องทำให้คนไทยเข้าใจและภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองก่อน จึงจะสามารถส่งออกไปได้อย่างทรงพลัง
บทสรุป ก้าวต่อไปของ Soft Power ไทย
การอนุมัติงบประมาณ 5.1 พันล้านบาท คือการจุดพลุเริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญของ Soft Power ไทย อย่างเป็นทางการ นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการปลดปล่อยศักยภาพของ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ซ่อนอยู่ในทุกอณูของสังคมไทย ตั้งแต่สตรีทฟู้ดข้างทางไปจนถึงผลงานศิลปะบนผืนผ้าใบ
อย่างไรก็ตาม งบประมาณเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ความสำเร็จที่แท้จริงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่โปร่งใส การกระจายโอกาสที่เป็นธรรม กลไกการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน
จากนี้ไป สังคมไทยคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า เม็ดเงินกว่าห้าพันล้านบาทนี้ จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน หรือจะเป็นเพียงพลุที่สว่างวาบแล้วดับไป ทิ้งไว้เพียงคำถามว่า Soft Power ไทย ได้เดินมาถูกทางแล้วจริงหรือ?
แหล่งที่มาจาก : immersia