กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยฉบับล่าสุด จับตาสถานการณ์ “พายุโซนร้อนวิภา” อย่างใกล้ชิด โดยย้ำชัดว่า “พายุไม่ได้เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง” แต่จะส่งอิทธิพลรุนแรง กระตุ้นให้ร่องมรสุมมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ต้องเผชิญกับสภาวะ “ฝนตกหนักถึงหนักมาก” ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 2-5 สิงหาคม 2568 นี้ เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์, ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง, และเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
สถานการณ์พายุวิภา กลายเป็นประเด็นที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในขณะนี้ การทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเส้นทางและผลกระทบของพายุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความตื่นตระหนกจากข่าวปลอม และเตรียมการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัปเดตล่าสุด (2200 น.) เส้นทางพายุวิภา และประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุฯ
จากประกาศของ กรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 10 (ลงวันที่ 1 ส.ค. 68) สามารถสรุปสถานการณ์ล่าสุดได้ดังนี้
- ตำแหน่งปัจจุบัน พายุโซนร้อน “วิภา” มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณ ทะเลจีนใต้ ตอนบน
- ความเร็วลม มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- เส้นทางพายุ คาดว่าพายุจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างช้าๆ และจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 2 สิงหาคม 2568 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ
“ย้ำอีกครั้ง พายุวิภาไม่ได้เคลื่อนที่เข้าปกคลุมประเทศไทยโดยตรง”
ไขข้อข้องใจ “พายุไม่เข้าไทยโดยตรง” แต่ทำไมถึงอันตราย?
นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจ แม้ศูนย์กลางพายุจะอยู่ที่เวียดนาม แต่ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก “อิทธิพลทางอ้อม” ของพายุ ด้วยกลไกดังนี้
- กระตุ้นร่องมรสุม พายุวิภา จะทำหน้าที่เหมือน “แม่เหล็ก” ดึงดูดและเสริมกำลัง “ร่องมรสุม” (Monsoon Trough) ซึ่งเป็นแนวความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคอีสานของไทยให้มีกำลังแรงขึ้นอย่างมาก
- ดึงความชื้นมหาศาล เมื่อร่องมรสุมมีกำลังแรงขึ้น มันจะดึงเอาความชื้นปริมาณมหาศาลจากทะเลอันดามันและอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย
- เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ความชื้นที่ถูกดูดเข้ามาจะก่อตัวเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่และหนาแน่น ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันในพื้นที่ที่ร่องมรสุมพาดผ่าน
ดังนั้น แม้จะไม่มีลมพายุพัดถล่มโดยตรง แต่ “ปริมาณน้ำฝน” ที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่อง คือภัยคุกคามที่แท้จริงและน่ากังวลที่สุด
[เช็คด่วน!] เปิดรายชื่อจังหวัดเสี่ยงภัย “ฝนตกหนักถึงหนักมาก” (2-5 ส.ค. 68)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ออกประกาศเตือนและขอให้จังหวัดต่อไปนี้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างสูงสุด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)
- พื้นที่เสี่ยงสูงสุด เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, หนองบัวลำภู, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม
- พื้นที่เสี่ยง มุกดาหาร, ยโสธร, กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, อำนาจเจริญ, อุบลราชธานี
ภาคเหนือ
- พื้นที่เสี่ยงสูงสุด แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน
- พื้นที่เสี่ยง อุตรดิตถ์, ตาก, สุโขทัย, พิษณุโลก, พิจิตร, เพชรบูรณ์
ประชาชนในจังหวัดดังกล่าวควรติดตาม พยากรณ์อากาศ และประกาศเตือนภัยจากทางราชการอย่างใกล้ชิด
ผลกระทบที่ต้องเฝ้าระวัง น้ำท่วมฉับพลัน, น้ำป่าไหลหลาก, ดินโคลนถล่ม
ปริมาณฝนที่ตกหนักจะนำมาซึ่งภัยพิบัติ 3 รูปแบบหลักที่ต้องเฝ้าระวัง
- น้ำท่วมฉับพลัน (Flash Flood) เกิดในพื้นที่ลุ่มต่ำและเขตเมืองที่การระบายน้ำไม่ทัน
- น้ำป่าไหลหลาก อันตรายอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขา, ทางน้ำ, และลำห้วย น้ำจะมาเร็วและแรงมาก สังเกตได้จากสีของน้ำที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขุ่นแดง
- ดินโคลนถล่ม (Landslide) เกิดในพื้นที่ลาดเชิงเขาที่ดินอุ้มน้ำไว้จนชุ่มและเกิดการสไลด์ตัวลงมา
คู่มือเตรียมความพร้อมรับมือพายุและน้ำท่วม
วิธีเตรียมรับมือพายุ และผลกระทบที่ตามมา ควรแบ่งการเตรียมการเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ก่อนพายุมา (ช่วงเตรียมการ 1-2 วันนี้)
- ติดตามข่าวสาร ฟังประกาศจาก กรมอุตุนิยมวิทยา และ ปภ. เป็นหลัก
- ตรวจสอบบ้านเรือน ตัดแต่งกิ่งไม้ที่อาจหักโค่น, ตรวจสอบความแข็งแรงของหลังคาและป้ายโฆษณา, ทำความสะอาดท่อระบายน้ำไม่ให้อุดตัน
- ขนของขึ้นที่สูง โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า, ยารักษาโรค, และเอกสารสำคัญ
- เตรียมถุงยังชีพฉุกเฉิน จัดเตรียม น้ำดื่ม, อาหารแห้ง, ยาประจำตัว, ไฟฉาย, และพาวเวอร์แบงก์
- เตรียมแผนอพยพ หากบ้านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมาก ควรวางแผนว่าจะอพยพไปอยู่ที่ไหนหากจำเป็น
ระยะที่ 2 ระหว่างมีฝนตกหนัก (ช่วงเฝ้าระวัง 2-5 ส.ค.)
- งดออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงที่ฝนตกหนักและลมแรง
- ระวังไฟฟ้าดูด หากมีน้ำท่วมขัง ให้รีบตัดสะพานไฟ (คัตเอาต์) ทันที อย่าสัมผัสสวิตช์ไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก
- ติดตามระดับน้ำ หากอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำหรือภูเขา ให้สังเกตระดับน้ำและสีของน้ำอย่างสม่ำเสมอ หากน้ำเปลี่ยนเป็นสีขุ่นให้เตรียมอพยพ
- ห้ามลงเล่นน้ำ อย่าให้เด็กๆ ลงเล่นน้ำที่ท่วมขังโดยเด็ดขาด เพราะอาจมีกระแสไฟฟ้าหรือสัตว์มีพิษ
ระยะที่ 3 หลังสถานการณ์
- ตรวจสอบความเสียหาย สำรวจความเสียหายของบ้านเรือนอย่างระมัดระวัง
- ระวังโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคน้ำกัดเท้า, โรคฉี่หนู, และโรคอุจจาระร่วง
- ติดต่อขอความช่วยเหลือ หากได้รับความเสียหาย ให้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานและติดต่อหน่วยงานในพื้นที่เพื่อขอรับการช่วยเหลือ
รวมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินที่ต้องมีติดเครื่องไว้
- สายด่วนนิรภัย (ปภ.) 1784 (แจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง)
- สายด่วนกรมอุตุฯ 1182 (สอบถามข้อมูลสภาพอากาศ)
- แพทย์ฉุกเฉิน 1669
- ตำรวจ 191
บทสรุป ไม่ประมาท คือการรับมือที่ดีที่สุด
แม้ พายุวิภา จะไม่ได้พัดเข้ามาทำลายล้างประเทศไทยโดยตรง แต่อิทธิพลของมันที่มีต่อสภาพอากาศนั้นรุนแรงและไม่อาจประมาทได้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประชาชนใน พื้นที่เสี่ยงพายุวิภา คือการ “ไม่ตื่นตระหนก แต่ต้องตระหนักและเตรียมพร้อม”
ขอให้ทุกท่านติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้, เตรียมการตามคำแนะนำ, และดูแลความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราทุกคนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
แหล่งที่มาจาก : immersia