Breaking
1 Aug 2025, Fri

Lotus Type 135 (MY26) เจาะลึกทายาท Elise ยุคไฟฟ้า กับภารกิจสุดท้าทายในการรักษาจิตวิญญาณ “รถสปอร์ตน้ำหนักเบา”

Lotus Type 135

ในยุคที่โลกยานยนต์กำลังมุ่งหน้าสู่พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ หนึ่งในคำถามสำคัญที่ค้างคาใจเหล่าคนรักรถสปอร์ตทั่วโลกคือ “Lotus จะยังคงเป็น Lotus ได้อยู่อีกหรือไม่?” วันนี้ คำตอบของคำถามนั้นกำลังจะถูกเปิดเผยผ่านโปรเจกต์ที่สำคัญและท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ “Lotus Type 135” รถสปอร์ตไฟฟ้าล้วนสำหรับโมเดลปี 2026 (MY26) ที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของตำนานอย่าง Elise และ Emira บทความนี้จะเจาะลึกทุกรายละเอียดล่าสุดของโปรเจกต์นี้ เพื่อค้นหาว่า Lotus จะเอาชนะโจทย์ที่ยากที่สุด “การสร้างรถ EV น้ำหนักเบาที่ขับสนุก” ได้อย่างไร

ภายใต้ร่มเงาของ Geely แบรนด์ Lotus ได้พลิกโฉมตัวเองอย่างสมบูรณ์ การมาถึงของ Hyper-SUV อย่าง Eletre และ Hyper-GT อย่าง Emeya ได้สร้างความสำเร็จเชิงพาณิชย์และนำพาแบรนด์สู่สายตาของลูกค้ากลุ่มใหม่ แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้แล้ว บทพิสูจน์ที่แท้จริงของแบรนด์จะอยู่ที่รถสปอร์ตสองที่นั่งคันต่อไป และนั่นคือภารกิจของ Lotus Type 135

The Lotus Type 135 electric sports car will have its batteries in an  unusual place | TechRadar

Lotus Type 135 คืออะไร? ทายาททางจิตวิญญาณของ Elise ในยุคไฟฟ้า

Lotus Type 135 คือชื่อรหัสของโปรเจกต์พัฒนารถสปอร์ต 2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่จะเข้ามาแทนที่ Lotus Emira ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นสุดท้ายของแบรนด์ เป้าหมายของรถคันนี้ไม่ใช่แค่การสร้าง รถสปอร์ตไฟฟ้า ที่เร็ว แต่คือการสร้างรถที่สามารถสืบทอดปรัชญาดั้งเดิมของ Colin Chapman ผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่ว่า “Simplify, then add lightness” (ทำให้เรียบง่าย แล้วทำให้น้ำหนักเบาลง)

นี่คือความท้าทายมหาศาล เพราะธรรมชาติของ Lotus EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าใดๆ ก็ตาม คือการมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมาก การจะสร้างรถ EV ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,500 กิโลกรัม และยังคงให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดิบ, เฉียบคม, และสื่อสารกับคนขับได้ดีเยี่ยมเหมือนเช่น Elise ในอดีต จึงเป็นภารกิจที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้

เจาะลึก “LEVA Platform” หัวใจแห่งความเบาที่ท้าทายกฎฟิสิกส์ของ EV

คำตอบของ Lotus ต่อความท้าทายนี้คือ LEVA Platform (Lightweight Electric Vehicle Architecture) สถาปัตยกรรมสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นด้วยเป้าหมายเดียวคือน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นสูง

  • โครงสร้างเบากว่าเดิม Lotus เคลมว่าโครงสร้างส่วนหลังของแพลตฟอร์ม LEVA นั้น เบากว่าโครงสร้างของ Lotus Emira ถึง 37% ซึ่งเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่ง
  • การจัดวางแบตเตอรี่ที่ไม่เหมือนใคร แทนที่จะวางแบตเตอรี่แบนราบใต้พื้นรถแบบ “Skateboard” เหมือนรถ EV ทั่วไป ซึ่งจะทำให้ตำแหน่งเบาะนั่งสูงขึ้น แพลตฟอร์ม LEVA ถูกออกแบบมาให้รองรับการวางแบตเตอรี่ซ้อนกันในแนวตั้งด้านหลังเบาะนั่ง หรือที่เรียกว่า “Chest” layout การจัดวางแบบนี้เลียนแบบตำแหน่งของเครื่องยนต์วางกลางในรถสปอร์ตดั้งเดิม ทำให้สามารถกดตำแหน่งเบาะนั่งให้ต่ำลงได้ มอบความรู้สึกในการขับขี่แบบรถสปอร์ตอย่างแท้จริง และยังส่งผลดีต่อการกระจายน้ำหนักอีกด้วย
  • ความยืดหยุ่นสูง แพลตฟอร์มนี้สามารถปรับเปลี่ยนความยาวฐานล้อและรองรับการติดตั้งมอเตอร์เดี่ยว (ขับเคลื่อนล้อหลัง) หรือมอเตอร์คู่ (ขับเคลื่อนสี่ล้อ) ได้ ทำให้สามารถนำไปพัฒนาเป็นรถสปอร์ตรุ่นย่อยต่างๆ ในอนาคตได้

สิทธิบัตรล่าสุดเผยดีไซน์! สเปคคาดการณ์ของ Lotus Type 135

จากข้อมูลที่รวบรวมได้จากสื่อต่างประเทศและสิทธิบัตรที่ยื่นจดทะเบียน ทำให้เราพอจะคาดการณ์ สเปค Lotus Type 135 ได้ดังนี้

ขุมพลัง จาก 469 ถึง 872 แรงม้า?

  • รุ่นเริ่มต้น (RWD) คาดว่าจะใช้มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังประมาณ 469 แรงม้า จับคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 66.4 kWh ให้ระยะทางวิ่งประมาณ 400 กิโลเมตร
  • รุ่นท็อป (AWD) คาดว่าจะใช้มอเตอร์คู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังรวมสูงถึง 872 แรงม้า จับคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 99.6 kWh และอาจทำระยะทางวิ่งได้ถึง 600 กิโลเมตร

ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Hypercar ไฟฟ้า Evija

ภาพจากสิทธิบัตรและทีเซอร์ต่างๆ บ่งชี้ว่า Type 135 จะมีดีไซน์ที่เฉียบคม ล้ำสมัย และเน้นหลักอากาศพลศาสตร์อย่างเต็มที่ โดยหยิบยืมเส้นสายและช่องอุโมงค์ลม (Venturi Tunnels) มาจากไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าอย่าง Lotus Evija เพื่อสร้างแรงกดและลดแรงต้านอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่า 1,500 กิโลกรัม

นี่คือเป้าหมายที่ท้าทายที่สุด หาก Lotus สามารถทำให้น้ำหนักของรถสปอร์ตไฟฟ้าคันนี้อยู่ต่ำกว่า 1,500 กิโลกรัมได้จริง มันจะกลายเป็นหนึ่งในรถ EV ที่เบาที่สุดในโลก และเป็นข้อพิสูจน์ว่าปรัชญาของแบรนด์ยังคงแข็งแกร่ง

The electric car Lotus Type 135 was worth the wait – Invoice Pricing

วิเคราะห์ปรัชญา Colin Chapman ในยุค Geely Lotus เปลี่ยนไปจริงหรือ?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายใต้ยุคของ Geely แบรนด์ Lotus ได้เปลี่ยนไปในเชิงพาณิชย์ การผลิต SUV และรถซาลูน 4 ประตูอย่าง Eletre และ Emeya คือสิ่งที่แฟนพันธุ์แท้ในอดีตไม่เคยจินตนาการถึง อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวกลับเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความอยู่รอด

  • SUV ที่สร้างกำไร เพื่อหล่อเลี้ยงรถสปอร์ต เงินทุนมหาศาลที่ได้จากการขาย Eletre และ Emeya คือสิ่งที่ทำให้โปรเจกต์ “Passion Project” อย่าง Type 135 สามารถเกิดขึ้นได้จริง มันคือกลยุทธ์ที่ Porsche เคยใช้กับ Cayenne จนประสบความสำเร็จมาแล้ว
  • รักษาการผลิตในบ้านเกิด แม้ Eletre และ Emeya จะผลิตในจีน แต่ Lotus ยืนยันว่า Type 135 จะยังคงถูกพัฒนาและผลิตขึ้นที่โรงงานในเมือง Hethel สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการรักษา “บ้านเกิด” และจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้

อนาคตของ Lotus ในประเทศไทย จาก Eletre, Emeya สู่ Type 135

สำหรับ Lotus Cars Thailand การทำตลาดในปัจจุบันถือเป็นการปูทางไปสู่อนาคต

  • สร้างการรับรู้ในวงกว้าง การเปิดตัว Eletre และ Emeya ทำให้คนไทยกลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่แค่แฟนรถสปอร์ต ได้รู้จักและสัมผัสกับแบรนด์ Lotus มากขึ้น
  • รุ่น MY26 ราคาเข้าถึงง่าย ข่าวล่าสุดจากประชาชาติธุรกิจระบุว่า Lotus Cars Thailand มีแผนจะนำ Eletre และ Emeya รุ่นย่อยใหม่สำหรับโมเดลปี 2026 เข้ามาทำตลาด โดยปรับลดสเปคบางอย่างเพื่อให้มีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นไปอีก
  • ตำแหน่งทางการตลาดของ Type 135 เมื่อ Type 135 มาถึงประเทศไทย คาดว่าจะถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถสปอร์ตภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Halo Car) ที่เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร โดยมี ราคา Lotus Type 135 ที่คาดว่าจะเริ่มต้นในระดับ 4-5 ล้านบาทสำหรับรุ่นพื้นฐาน และอาจสูงถึง 7-8 ล้านบาทสำหรับรุ่นท็อป

British-built Lotus Type 135 electric sports car will replace Emira in 2027

บทสรุป บทพิสูจน์ครั้งสำคัญของตำนานรถสปอร์ต

Lotus Type 135 (MY26) คือรถยนต์ที่แบกรับความคาดหวังของคนทั้งโลก มันไม่ใช่แค่รถรุ่นใหม่ แต่คือบทพิสูจน์ว่าจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์รถสปอร์ตที่เบาและขับสนุกจะยังคงอยู่รอดได้ในยุคแห่งพลังงานไฟฟ้าหรือไม่

ความสำเร็จของโปรเจกต์นี้จะไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขแรงม้าหรืออัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. แต่วัดกันที่ “ความรู้สึก” หลังพวงมาลัย ว่ามันสามารถมอบรอยยิ้มและความตื่นเต้นแบบที่ ผู้สืบทอด Lotus Elise ควรจะทำได้หรือไม่ หาก Lotus ทำสำเร็จ พวกเขาไม่เพียงแต่จะรักษาตำนานของตัวเองไว้ได้ แต่ยังจะเป็นผู้ชี้นำทิศทางให้กับอุตสาหกรรมรถสปอร์ตไฟฟ้าทั้งหมดในอนาคตอีกด้วย

แหล่งที่มาจาก : immersia