ราคาทองวันนี้ (1 สิงหาคม 2568) เปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ท่ามกลางความผันผวนสูงของตลาดโลก นักลงทุนจับตาสัญญาณล่าสุดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และทิศทางค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด บทวิเคราะห์เจาะลึกชี้ว่านี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญสำหรับนักลงทุนทองคำในไทย ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
สถานการณ์ราคาทองคำในปัจจุบันเปรียบเสมือนเรือที่ลอยอยู่กลางคลื่นลมที่แปรปรวน ปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่างเข้ามากระทบในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้การคาดการณ์ทิศทางในระยะสั้นทำได้ยากยิ่ง บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นของปัญหา ตั้งแต่ปัจจัยมหภาคระดับโลกไปจนถึงผลกระทบโดยตรงต่อกระเป๋าเงินของคนไทย พร้อมนำเสนอแนวทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบคมในสภาวะตลาดเช่นนี้
สรุปราคาทองวันนี้ 1 สิงหาคม 2568 ประกาศล่าสุดจากสมาคมฯ
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนที่สุด เรามาเริ่มต้นด้วยข้อมูลราคาที่เป็นทางการล่าสุดจาก สมาคมค้าทองคำ ณ เวลาเปิดตลาด 0930 น. ของวันนี้
ประเภททองคำ | ราคารับซื้อ (บาทต่อบาททองคำ) | ราคาขายออก (บาทต่อบาททองคำ) |
ทองคำแท่ง 96.5% | 41,550 บาท | 41,650 บาท |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 40,804.88 บาท | 42,150 บาท |
ส่งออกไปยังชีต
หมายเหตุ ราคาดังกล่าวเป็นราคา ณ การประกาศครั้งที่ 1 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัน ผู้ลงทุนควรตรวจสอบราคาทองล่าสุดจากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำหรือร้านค้าที่น่าเชื่อถืออีกครั้งก่อนทำธุรกรรม
จากตารางจะเห็นได้ว่า ราคาทองรูปพรรณ มีส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขายที่กว้างกว่า ราคาทองคําแท่ง อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจาก ค่ากำเหน็จ หรือค่าฝีมือช่างที่ถูกรวมเข้าไปในราคาขายออก และจะถูกหักออกเมื่อนำกลับไปขายคืน
เจาะลึก 3 ปัจจัยหลัก กดดัน-หนุน ราคาทองคำในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของ ราคาทอง ในประเทศไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นผลลัพธ์จากสมการที่ซับซ้อนของปัจจัยต่างๆ ทั่วโลก ในวันนี้มี 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งอิทธิพลโดยตรง
1. สัญญาณล่าสุดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ปัจจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อ ราคาทอง ในตลาดโลกขณะนี้ คือท่าทีของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อนโยบายอัตราดอกเบี้ย
- ความเป็นมา เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง การขึ้นดอกเบี้ยทำให้การถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยอย่างทองคำมีความน่าสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
- สถานการณ์ปัจจุบัน แม้เงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ของเฟด รายงานการประชุมล่าสุดและสุนทรพจน์ของประธานเฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจจำเป็นต้อง “คงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง” (Higher for Longer) เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะถูกควบคุมได้อย่างยั่งยืน
- ผลกระทบ สัญญาณดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นทันที และกดดัน ราคาทองวันนี้ ในตลาดโลก (Spot Gold) โดยตรง เพราะทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทองคำซึ่งซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์จะมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการลดลง
2. ความผันผวนของ “ค่าเงินบาท”
สำหรับนักลงทุนไทย ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ค่าเงินบาท เนื่องจากราคาทองคำในประเทศคำนวณโดยการแปลงราคาจากดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท
- สมการง่ายๆ
- บาทอ่อน หากค่าเงินบาทอ่อนลง (เช่น จาก 36 เป็น 37 บาทต่อดอลลาร์) เราจะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อทองคำในราคาดอลลาร์เท่าเดิม ส่งผลให้ ราคาทองวันนี้ ในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
- บาทแข็ง ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น (เช่น จาก 36 เป็น 35 บาทต่อดอลลาร์) เราจะใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อทองคำ ทำให้ราคาทองในประเทศปรับตัวลดลง
- สถานการณ์ปัจจุบัน ในช่วงเช้าวันนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำปรับตัวลดลง สวนทางกับตลาดโลกที่ยังทรงตัว การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนทองคำในไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดไม่แพ้ข่าวของเฟด
3. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
แม้จะถูกกดดันจากปัจจัยด้านนโยบายการเงิน แต่ทองคำยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญคอยพยุงราคาอยู่ นั่นคือสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe-Haven Asset)
- ความไม่แน่นอนคือเพื่อนของทองคำ ในยามที่โลกเผชิญกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงคราม หรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง นักลงทุนมักจะโยกย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) มายังทองคำเพื่อปกป้องความมั่งคั่ง
- สถานการณ์ปัจจุบัน ความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นในหลายภูมิภาคของโลก รวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนสถาบันและธนาคารกลางทั่วโลกมีความต้องการถือครองทองคำในระยะยาว ซึ่งช่วยจำกัดการปรับตัวลดลงของราคาได้เป็นอย่างดี
วิเคราะห์แนวโน้ม นักลงทุนควร “ซื้อ-ขาย-หรือรอ”?
เมื่อเข้าใจปัจจัยทั้งหมดแล้ว คำถามสำคัญที่สุดก็คือ ควรซื้อทองตอนไหนดี? คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนของคุณ
มุมมองสำหรับนักลงทุนระยะสั้น (เก็งกำไร)
สำหรับนักลงทุนที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนในระยะสั้น (รายวันหรือรายสัปดาห์) สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงมาก
- ความเสี่ยง ความผันผวนที่เกิดจากข่าวสาร (Headline-driven market) ทำให้ราคาเหวี่ยงตัวรุนแรงและคาดเดายาก การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
- กลยุทธ์
- Wait & See ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ชะลอการลงทุน หรือลดขนาดพอร์ตการลงทุนลง เพื่อรอดูความชัดเจนจากทิศทางดอกเบี้ยของเฟดและการตอบสนองของ ค่าเงินบาท
- ติดตามกรอบราคา หากจำเป็นต้องลงทุน ควรตั้งจุดซื้อ-ขายที่ชัดเจน โดยติดตามแนวรับ-แนวต้านทางเทคนิคอย่างใกล้ชิด
- ติดตามข่าวสาร การติดตามประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (เช่น อัตราการจ้างงาน, ดัชนีราคาผู้บริโภค) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะยาว (ออมในทองคำ)
สำหรับผู้ที่มองว่าทองคำคือการออมเพื่อความมั่งคั่งในระยะยาว สถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสที่ดี
- โอกาส การที่ ราคาทอง ย่อตัวลงจากปัจจัยกดดันระยะสั้น ถือเป็น “จังหวะในการทยอยเข้าซื้อสะสม” (Buy on Dip) ในราคาที่ต่ำลง ก่อนที่ราคาอาจจะดีดตัวกลับขึ้นไปในระยะยาว
- กลยุทธ์
- Dollar-Cost Averaging (DCA) คือการทยอยซื้อทองคำด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละเดือนหรือแต่ละไตรมาส โดยไม่สนใจว่า ราคาทองวันนี้ จะอยู่ที่เท่าไหร่ วิธีนี้จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนการซื้อของคุณในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากการซื้อทั้งหมดในครั้งเดียวที่ราคาสูง
- กำหนดสัดส่วน ควรกำหนดสัดส่วนการลงทุนในทองคำให้เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนโดยรวม (โดยทั่วไปแนะนำที่ 5-15%) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง
ราคาทองรูปพรรณวันนี้ สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มเติมเรื่อง “ค่ากำเหน็จ”
สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อทองคำในรูปแบบเครื่องประดับหรือ ทองรูปพรรณ มีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ นั่นคือ ค่ากำเหน็จ
- ค่ากำเหน็จคืออะไร? คือค่าแรงหรือค่าฝีมือในการเปลี่ยนทองคำแท่งให้กลายเป็นลวดลายเครื่องประดับที่สวยงาม ซึ่งจะถูกบวกเพิ่มเข้าไปใน ราคาขายออก ของทองรูปพรรณ
- ทำไมราคาขายคืนถึงต่ำกว่ามาก? เมื่อคุณนำทองรูปพรรณกลับไปขายคืนที่ร้านทอง ทางร้านจะคิดราคารับซื้อโดยอิงจากน้ำหนักของเนื้อทองคำ 96.5% เท่านั้น และจะไม่ได้คืนค่ากำเหน็จที่คุณจ่ายไปในตอนแรก นี่คือเหตุผลที่ส่วนต่างของราคาซื้อ-ขายทองรูปพรรณจึงสูงกว่าทองคำแท่ง
- คำแนะนำ หากเป้าหมายหลักของคุณคือ “การลงทุน” การซื้อ ราคาทองคําแท่ง จะมีความคุ้มค่ามากกว่าเนื่องจากมีส่วนต่างราคาที่แคบกว่า แต่หากคุณต้องการซื้อเพื่อสวมใส่เป็นเครื่องประดับด้วย ก็ให้ยอมรับว่าค่ากำเหน็จคือต้นทุนสำหรับความสวยงามนั้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับราคาทองวันนี้
Q1 ราคาทองวันนี้ 1 บาท เท่ากับเท่าไหร่? A1 ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 (ประกาศครั้งที่ 1) ราคาขายออกทองคำแท่ง 1 บาท อยู่ที่ 41,650 บาท ส่วนราคาขายออกทองรูปพรรณอยู่ที่ 42,150 บาท ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดวัน
Q2 ปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อราคาทองมากที่สุดในตอนนี้? A2 ปัจจัยหลักคือทิศทางดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการเคลื่อนไหวของ ค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณราคาทองในประเทศ
Q3 แนวโน้มราคาทองสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร? A3 คาดว่าจะยังคงผันผวนสูง โดยมีปัจจัยที่ต้องจับตาคือการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด อาจกดดันราคาทองคำต่อไป
Q4 ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อทองหรือไม่? A4 สำหรับการลงทุนระยะยาว ถือเป็นโอกาสทยอยสะสมได้ แต่สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นยังมีความเสี่ยงสูงมาก แนะนำให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน
บทสรุป เดินหน้าอย่างรอบคอบในตลาดทองคำที่ผันผวน
โดยสรุป ราคาทองวันนี้ สะท้อนภาพความตึงเครียดระหว่างปัจจัยกดดันด้านนโยบายการเงินของเฟด และปัจจัยหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางการแกว่งตัวของค่าเงินบาท การตัดสินใจลงทุนในช่วงเวลานี้จึงต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับนักลงทุนระยะยาว การมองข้ามความผันผวนระยะสั้นและใช้โอกาสนี้ในการทยอยสะสมตามกลยุทธ์ DCA ยังคงเป็นแนวทางที่น่าสนใจ ในขณะที่นักลงทุนระยะสั้นควรเพิ่มความระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนประเภทใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น สมาคมค้าทองคำ และบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เพราะในโลกของการลงทุน ความรู้คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
แหล่งที่มาจาก : immersia