ในขณะที่เสียงปืนและเปลวไฟจากสงครามกลางเมืองในเมียนมาร์ดังกระหึ่มไม่เว้นวัน ยังมีภัยคุกคามอีกชนิดหนึ่งที่ทำงานของมันอย่างเงียบเชียบแต่โหดเหี้ยม มันคือ “ทุ่นระเบิด PMN-2” อาวุธสังหารบุคคลยุคสงครามเย็นที่ถูกนำกลับมาใช้อย่างแพร่หลาย มันไม่ส่งเสียงเตือน ไม่เลือกเหยื่อ และรอคอยอย่างอดทนใต้เศษใบไม้หรือผืนดินบางๆ ตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพื่อปลิดชีวิตหรือสร้างความพิการอย่างถาวรให้กับใครก็ตามที่ก้าวพลาด นี่คือเรื่องราวของมัจจุราชพลาสติกที่กำลังสร้างวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหม่ และกลายเป็นความท้าทายโดยตรงต่อความมั่นคงและภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดของประเทศไทย
PMN-2 คืออะไร? ทำความรู้จัก “ระเบิดผีเสื้อ” มัจจุราชในคราบพลาสติก
ทุ่นระเบิด PMN-2 (ภาษารัสเซีย противопехотная мина нажимная; อังกฤษ PMN-2 anti-personnel mine) คือทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบใช้แรงกด (Pressure-activated) ที่ออกแบบและผลิตโดยสหภาพโซเวียต แม้จะเป็นอาวุธที่เก่าแก่ แต่ประสิทธิภาพในการสังหารและสร้างความหวาดกลัวของมันยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้มันถูกขนานนามในหมู่นักเก็บกู้และทหารว่า “ระเบิดผีเสื้อ” หรือ “Black Widow”
คุณสมบัติที่ทำให้ PMN-2 เป็นฝันร้ายของมนุษยชาติ มีดังนี้
- โครงสร้างพลาสติก ตรวจจับยาก ตัวทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก Bakelite มีชิ้นส่วนโลหะน้อยมาก ทำให้เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการค้นหา ทำงานได้ยากลำบากอย่างยิ่ง
- แรงกดในการทำงานต่ำ มันต้องการแรงกดเพียง 5-25 กิโลกรัมเท่านั้นในการจุดชนวน ซึ่งหมายความว่าแม้แต่น้ำหนักตัวของเด็กเล็กก็สามารถทำให้มันระเบิดได้
- ออกแบบมาเพื่อสร้างความพิการ บรรจุดินระเบิดแรงสูง (เช่น TNT หรือ RDX) ในปริมาณประมาณ 100-150 กรัม ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงพอที่จะฉีกขาดขาทั้งสองข้างของผู้ใหญ่ที่เหยียบมัน แต่ไม่รุนแรงพอที่จะสังหารในทันที เป้าประสงค์ตามหลักนิยมของมันคือการสร้างภาระให้กับฝ่ายตรงข้าม ที่ต้องใช้ทรัพยากร 2-3 คนในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 1 คน
- ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ด้วยโครงสร้างที่ปิดสนิทและเรียบง่าย ทำให้มันสามารถคงสภาพพร้อมทำงานได้นานหลายสิบปีใต้อุณหภูมิและความชื้นที่หลากหลาย
“PMN-2 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อฆ่า แต่เพื่อทำให้คุณทรมานไปตลอดชีวิต มันคืออาวุธที่สร้างภาระทางจิตใจและเศรษฐกิจให้กับสังคม มันเปลี่ยนเกษตรกรให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง เปลี่ยนเด็กให้กลายเป็นคนพิการ” – เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)
เปลวไฟจากเมียนมาร์ สงครามที่นำพาหายนะข้ามพรมแดน
ต้นตอของการกลับมาระบาดของ ทุ่นระเบิด PMN-2 ตามแนวชายแดนไทย คือความขัดแย้งภายในประเทศเมียนมาร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2564 การสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลเมียนมาร์ (Tatmadaw) และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (Ethnic Armed Organizations – EAOs) รวมถึงกองกำลังฝ่ายต่อต้าน (People’s Defence Force – PDF) ได้ขยายวงกว้างและไร้ซึ่งขอบเขต
ทั้งสองฝ่ายในความขัดแย้งถูกกล่าวหาว่าใช้ กับระเบิดสังหารบุคคล เป็นเครื่องมือทางยุทธวิธีอย่างแพร่หลาย เพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้
- สกัดกั้นการเคลื่อนกำลังของฝ่ายตรงข้าม
- ป้องกันฐานที่มั่นและเส้นทางยุทธศาสตร์
- สร้างความหวาดกลัวและขัดขวางไม่ให้ประชาชนสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม
- ปิดล้อมพื้นที่ทำกิน เพื่อตัดเสบียงของพลเรือนที่ถูกมองว่าเป็นแนวร่วม
พื้นที่ชายแดนที่ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และระนองของไทย กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสุด เนื่องจากเป็นเส้นทางหลบหนีของพลเรือนชาวเมียนมาร์หลายแสนคนที่หนีตายจากการสู้รบและการโจมตีทางอากาศ พวกเขากำลังหนีจาก “สงครามที่มองเห็น” มาเผชิญหน้ากับ “ภัยเงียบที่มองไม่เห็น” ซึ่งอาจคร่าชีวิตพวกเขาก่อนจะทันได้ข้ามมาถึงฝั่งไทย
เสียงจากชายแดน ชีวิตบนเส้นด้ายของผู้ลี้ภัยและคนไทย
รายงานจากองค์กรด้านมนุษยธรรมและสื่อภาคสนามได้ฉายภาพความน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องเดินทางเท้าเปล่าผ่านป่าเขาและพื้นที่เกษตรกรรมที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทุกย่างก้าวคือการเสี่ยงโชคกับความตาย
เรื่องราวของครอบครัวชาวกะเหรี่ยงที่พ่อต้องสูญเสียขาไปเพราะเหยียบ ทุ่นระเบิด PMN-2 ขณะอุ้มลูกสาวหนีการสู้รบ หรือภาพของเด็กๆ ที่บาดเจ็บสาหัส กลายเป็นเรื่องที่น่าสลดใจแต่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไป ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน
ภัยคุกคามนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ลี้ภัย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทย
- ความปลอดภัยของประชาชน ชาวบ้านไทยที่อาศัยตามแนวชายแดน ซึ่งเคยข้ามไปทำไร่หรือหาของป่าในฝั่งตรงข้าม ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกต่อไป เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพื้นที่ใดบ้างที่กลายเป็นทุ่งสังหาร
- ความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ ทหารพรานและตำรวจตระเวนชายแดนที่ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเพื่อรักษาอธิปไตย ต้องทำงานด้วยความเสี่ยงสูงสุด
- ภาระด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลในอำเภอชายแดนของไทย เช่น แม่สอด พบพระ หรือสังขละบุรี ต้องรองรับผู้บาดเจ็บจากทุ่นระเบิดที่ถูกส่งตัวข้ามมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างภาระอย่างหนักให้กับบุคลากรและทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีจำกัด
ภารกิจเสี่ยงตาย ความท้าทายของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC)
ประเทศไทย โดย ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ของกองทัพ มีขีดความสามารถและประสบการณ์สูงในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันมีความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าในอดีตมาก
ความท้าทายหลักประกอบด้วย
- การปนเปื้อนใหม่และต่อเนื่อง แตกต่างจากการเก็บกู้ในพื้นที่ขัดแย้งเก่าที่สิ้นสุดไปแล้ว สถานการณ์ในเมียนมาร์ยังคงดำเนินอยู่ หมายความว่าต่อให้เก็บกู้พื้นที่หนึ่งจนปลอดภัย ก็อาจมีการวางทุ่นระเบิดใหม่ได้ตลอดเวลา
- พื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นอันตราย การเข้าถึงพื้นที่ต้องสงสัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา และความเสี่ยงจากการสู้รบที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
- เทคโนโลยีของทุ่นระเบิด การที่ ทุ่นระเบิด PMN-2 มีส่วนประกอบของโลหะน้อยมาก ทำให้ต้องอาศัยทักษะการสังเกตและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก หรือใช้เครื่องมือพิเศษซึ่งมีราคาสูงและมีจำนวนจำกัด
- การให้ความรู้แก่ประชาชน ภารกิจที่สำคัญไม่แพ้การเก็บกู้ คือการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงจากทุ่นระเบิด (Mine Risk Education – MRE) แก่ประชาชนไทยและผู้ลี้ภัย เพื่อให้พวกเขาสามารถจดจำลักษณะของทุ่นระเบิด รู้จักพื้นที่เสี่ยง และรู้วิธีปฏิบัติตัวเมื่อพบเจอ
ประเทศไทยกับอนุสัญญาออตตาวา เมื่อภัยคุกคามอยู่นอกบ้านแต่ส่งผลถึงในบ้าน
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในรัฐภาคีของ อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และว่าด้วยการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อนุสัญญาออตตาวา” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังแสงทั้งหมด และประกาศว่าพื้นที่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ปลอดจากทุ่นระเบิดแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ชายแดนไทย-พม่ากำลังสร้างสภาวะที่ซับซ้อน แม้ภัยคุกคามจะไม่ได้เกิดจากการกระทำของไทย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้คนบนแผ่นดินไทยและตามแนวชายแดนนั้นเป็นเรื่องจริง นี่คือบททดสอบเจตนารมณ์ด้านมนุษยธรรมของประชาคมโลกและของไทย ในการจัดการกับ “ผลกระทบข้ามพรมแดน” ของอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมชนิดนี้
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต ทางรอดจากภัยเงียบ
วิกฤตจาก ทุ่นระเบิด PMN-2 ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความมั่นคง แต่เป็นโศกนาฏกรรมด้านมนุษยธรรมที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและรอบด้าน ทางออกของปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน
- การทูตและการกดดันระหว่างประเทศ ประเทศไทยและอาเซียนต้องร่วมกันกดดันให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้งของเมียนมาร์ยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
- การสนับสนุนภารกิจเก็บกู้ รัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับ TMAC และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจ
- ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การเพิ่มการสนับสนุนให้กับโรงพยาบาลชายแดน และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่ทำงานให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การทำกายภาพบำบัด และการฟื้นฟูจิตใจ
- การสร้างความตระหนักรู้ การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากทุ่นระเบิดในวงกว้าง คือวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตราบใดที่สงครามในเมียนมาร์ยังไม่จบสิ้น ภัยเงียบจาก ทุ่นระเบิด PMN-2 จะยังคงคุกคามชีวิตผู้คนต่อไป การรับมือกับมันจึงไม่ใช่แค่การ “เก็บกู้” วัตถุอันตรายออกจากพื้นดิน แต่คือการ “เก็บกู้” มนุษยธรรมให้กลับคืนมาสู่พื้นที่ชายแดนแห่งนี้อีกครั้ง
แหล่งที่มาจาก : immersia