ณ กลางปี 2568 สถานการณ์ไทย-กัมพูชา กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งประวัติศาสตร์ ประเด็นที่เคยถูกแช่แข็งมานานหลายทศวรรษอย่าง “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area – OCA)” ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวไทย ซึ่งคาดว่าอุดมไปด้วยทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ำมันมูลค่ามหาศาล ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นบนโต๊ะเจรจาอีกครั้งอย่างจริงจัง ภายใต้บรรยากาศทางการทูตที่ดูชื่นมื่นของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังความคืบหน้าล่าสุด วิเคราะห์โอกาสและความท้าทายที่ซ่อนอยู่ และตอบคำถามสำคัญว่า การเดิมพันครั้งใหญ่นี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงทางพลังงานครั้งใหม่ หรือจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระลอกใหม่ที่ต้องจับตาอย่างไม่กะพริบ
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ทำไม “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล” จึงสำคัญต่ออนาคตประเทศไทย?
คำตอบนั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา ความมั่นคงทางพลังงาน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวงจากการที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ลดลงอย่างต่อเนื่อง การพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากต่างประเทศมีราคาสูงและผันผวนตามสถานการณ์โลก ทำให้ค่าไฟฟ้าของประชาชนและต้นทุนภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
พื้นที่ OCA ไทย-กัมพูชา จึงเปรียบเสมือน “ขุมทรัพย์” ที่รอการค้นพบ รายงานและการประเมินจากหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพ ดังนี้
- ปริมาณก๊าซธรรมชาติมหาศาล คาดว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองสูงถึง 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันดิบอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเทียบเท่ากับแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่สามารถหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยไปได้อีกหลายสิบปี
- ลดการพึ่งพาการนำเข้า หากสามารถพัฒนาและนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ได้สำเร็จ จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลโดยตรงต่อการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานในประเทศ
- สร้างรายได้ให้รัฐ ภาครัฐจะสามารถจัดเก็บค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งจะเป็นรายได้มหาศาลสำหรับนำมาพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ต่อไป
- กระตุ้นการลงทุนและจ้างงาน โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมขนาดใหญ่จะก่อให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องและการจ้างงานจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ด้วยเหตุนี้ การปลดล็อกพื้นที่ OCA จึงไม่ใช่แค่เรื่องของพลังงาน แต่เป็นวาระแห่งชาติที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในยุคปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
พลวัตใหม่ภายใต้รัฐบาล “เศรษฐา-ฮุน มาเนต” จากเพื่อนบ้านสู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์?
สิ่งที่ทำให้การเจรจาครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต คือการเปลี่ยนแปลงผู้นำของทั้งสองประเทศ การเข้ามาของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเน้นนโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก และการสืบทอดอำนาจของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในกัมพูชา ได้สร้างบรรยากาศของความร่วมมือที่จับต้องได้มากกว่าเดิม
- การทูตเชิงเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันมองกัมพูชาในฐานะ “หุ้นส่วน” เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันมากกว่า “คู่ขัดแย้ง” ทางประวัติศาสตร์ การเยือนของผู้นำทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) หลายฉบับที่มุ่งส่งเสริม การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และการลงทุน
- เคมีที่ตรงกันของผู้นำ ภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายกฯ เศรษฐา และนายกฯ ฮุน มาเนต รวมถึงบทบาทของ สมเด็จฮุนเซน ในฐานะผู้มีบารมีทางการเมือง ก็เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดแรงเสียดทานและสร้างความไว้วางใจในการเจรจาประเด็นที่ละเอียดอ่อน
- กรอบการเจรจาที่ชัดเจนขึ้น มีความพยายามผลักดันการเจรจาโดยยึดโมเดล พื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area – JDA) เหมือนที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วกับมาเลเซีย โดยหลักการสำคัญคือ “พักเรื่องเขตแดน วางเรื่องอธิปไตยไว้ชั่วคราว แล้วมาพัฒนาทรัพยากรร่วมกันก่อน” แนวทางนี้ถูกมองว่าเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชี้ว่า แม้บรรยากาศจะดูเป็นบวก แต่หนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยขวากหนาม
เจาะลึกความท้าทาย เมื่อ “ผลประโยชน์” และ “ประวัติศาสตร์” ยังคงเป็นเงา
แม้ทั้งสองฝ่ายจะแสดงเจตจำนงที่ชัดเจน แต่การจะบรรลุข้อตกลง JDA ได้นั้น ยังมีประเด็นท้าทายที่ซับซ้อนรออยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ยืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่มีการลงนาม MOU ในปี 2544
- ปัญหาเส้นเขตแดนทางทะเล จุดยืนเรื่องการลากเส้นเขตแดนทางทะเลของไทยและกัมพูชายังคงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กัมพูชายึดถือเส้นที่ลากโดยฝ่ายเดียวในสมัยรัฐบาลลอน นอล ซึ่งไทยไม่เคยยอมรับ ขณะที่ไทยยึดตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การหาจุดร่วมในประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
- แรงกดดันทางการเมืองภายใน ประเด็นเรื่องเขตแดนและอธิปไตยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในสังคมไทย การยอมผ่อนปรนใดๆ อาจถูกฝ่ายการเมืองตรงข้ามหรือกลุ่มชาตินิยมหยิบยกมาโจมตีรัฐบาลว่า “เสียดินแดน” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองได้
- การจัดสรรผลประโยชน์ คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ได้คือ “ใครจะได้อะไร เท่าไหร่?” การแบ่งปันผลประโยชน์ในสัดส่วนที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย (เช่น 5050 หรือตามสัดส่วนอื่น) การกำหนดผู้รับสัมปทาน และกลไกการบริหารจัดการพื้นที่ JDA ล้วนเป็นรายละเอียดที่ต้องใช้เวลาและความไว้วางใจอย่างสูงในการเจรจา
- ความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ประชาชนและภาคประชาสังคมต่างจับตามองกระบวนการเจรจาอย่างใกล้ชิด โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์มหาศาลจะตกเป็นของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่กลุ่มทุนหรือนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
กระทรวงการต่างประเทศ ของไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการเดินหน้าเจรจาเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ กับการบริหารจัดการความรู้สึกของประชาชนภายในประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ผลกระทบวงกว้าง มองข้ามขุมทรัพย์พลังงานสู่มิติอื่นๆ
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องพลังงาน แต่ยังส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปยังมิติอื่นๆ อีกด้วย
- เศรษฐกิจชายแดน บรรยากาศความร่วมมือที่ดีส่งผลบวกโดยตรงต่อ เศรษฐกิจชายแดน ด่านการค้าต่างๆ มีความคึกคักมากขึ้น มีการผลักดันโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพาน เพื่อเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 ตามที่ผู้นำทั้งสองตั้งเป้าไว้
- การท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยง “สองราชอาณาจักร” (Two Kingdoms, One Destination) เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ถูกผลักดัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางท่องเที่ยวในทั้งสองประเทศในการเดินทางครั้งเดียว
- ปัญหาข้ามพรมแดน ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นขึ้นยังช่วยให้การแก้ไขปัญหาร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด หรือการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่กัดกร่อนความมั่นคงของทั้งสองชาติ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2568 ยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามสถานการณ์การเมืองภายในและปัจจัยภายนอก
บทวิเคราะห์ ไทยจะได้อะไรจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และต้องแลกกับอะไร?
หากการเจรจาประสบความสำเร็จ สิ่งที่ไทยจะได้รับนั้นชัดเจน
- ความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว ลดความเสี่ยงด้านราคาพลังงานและสร้างเสถียรภาพให้เศรษฐกิจ
- รายได้เข้ารัฐมหาศาล งบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศเพิ่มขึ้น
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ เกิดการลงทุน การจ้างงาน และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง
- ภาพลักษณ์บนเวทีโลก การเปลี่ยนคู่ขัดแย้งเป็นหุ้นส่วนได้สำเร็จจะเสริมสร้างบารมีทางการทูตของไทย
แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่อาจต้อง “แลก” มาคือความเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ รัฐบาลต้องสามารถสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับประชาชนได้ว่า การ “พัก” เรื่องอธิปไตยเพื่อร่วมกันพัฒนา ไม่ใช่การ “เสีย” ดินแดน และต้องมีกลไกที่โปร่งใสในการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
(บทสรุป | Conclusion)
การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่สุดของ ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในยุคใหม่ ภายใต้การนำของรัฐบาลเศรษฐาและฮุน มาเนต ดูเหมือนว่าประตูแห่งโอกาสจะเปิดกว้างกว่าครั้งไหนๆ ในอดีต ขุมทรัพย์พลังงานใต้พื้นทะเลอาจเป็นคำตอบของความมั่นคงทางพลังงานที่ไทยแสวงหามานาน และเป็นเครื่องมือในการยกระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศสู่มิติใหม่
อย่างไรก็ตาม เงาของประวัติศาสตร์และความซับซ้อนของผลประโยชน์แห่งชาติยังคงเป็น “กับระเบิดเวลา” ที่สามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อหากการบริหารจัดการไม่ดีพอ สถานการณ์ไทย-กัมพูชา จากนี้ไปจึงขึ้นอยู่กับความกล้าหาญทางการเมือง ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และที่สำคัญที่สุดคือความสามารถของรัฐบาลในการสร้างฉันทามติภายในชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าการเดินหน้าครั้งนี้จะนำมาซึ่ง “โอกาสทอง” สำหรับคนไทยทุกคน ไม่ใช่การจุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
แหล่งที่มาจาก : immersia