โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เขย่าเวทีเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง ด้วยการประกาศกร้าวถึงนโยบาย “ภาษีทรัมป์” ระลอกใหม่ หากเขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึง ข้อเสนอที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกคือการตั้ง “กำแพงภาษี 60%” หรือสูงกว่าสำหรับสินค้าจากจีน และภาษี 10% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั้งหมด นโยบายสุดโต่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับมาของสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่รุนแรงกว่าเดิม และอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้ดำดิ่ง บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทยอย่างภาคการส่งออก พร้อมสำรวจว่าภาครัฐและเอกชนไทยมีทางเลือกและทางรอดจากพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่นี้อย่างไร
‘ภาษีทรัมป์ 2.0’ คืออะไร? ทำไมจึงรุนแรงกว่าครั้งก่อน
หลายคนอาจคุ้นเคยกับ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ในสมัยแรกของ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ข้อเสนอครั้งใหม่นี้มีความแตกต่างและน่ากังวลกว่าเดิมในหลายมิติ หากจะตอบคำถามว่า นโยบายเศรษฐกิจโดนัลด์ ทรัมป์ คืออะไร ในบริบทล่าสุด อาจสรุปแก่นของมันได้ดังนี้
- กำแพงภาษี 60% สำหรับจีน อัตราภาษี 60% หรืออาจสูงกว่านั้น ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นระดับที่รุนแรงกว่าอัตราภาษี 25% ที่เคยใช้ในอดีตมาก
- ภาษี 10% ทั่วโลก (Universal Baseline Tariff) นโยบายนี้กำหนดให้สินค้าทุกชิ้นที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ จากทุกประเทศ (ยกเว้นที่มีข้อตกลงพิเศษ) จะต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 10% ซึ่งหมายความว่าแม้แต่สินค้าไทยที่ ส่งออกไปอเมริกา โดยตรงก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
- เป้าหมายคือการ ‘Decoupling’ อย่างสมบูรณ์ แนวคิดเบื้องหลังไม่ใช่แค่การเจรจาต่อรอง แต่เป็นการผลักดันให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตและ ห่วงโซ่อุปทาน ออกจากจีนอย่างถาวร เพื่อกลับมาผลิตในประเทศ (Reshoring) หรือย้ายไปยังประเทศพันธมิตร (Friend-shoring)
นโยบายนี้สะท้อนแนวคิด “America First” ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อพลิกโครงสร้างการค้าโลกที่สหรัฐฯ มองว่าตนเองเสียเปรียบมานาน
ภาษีทรัมป์กระทบไทยอย่างไร? เปิดสองแผลใหญ่ที่ภาคส่งออกต้องเผชิญ
สำหรับประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงถึงกว่า 60% นโยบาย ภาษีทรัมป์ เปรียบเสมือนคลื่นสึนามิทางเศรษฐกิจที่ซัดเข้ามาจากสองทิศทางพร้อมกัน
- ผลกระทบทางตรง (Direct Hit) สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรงจะเผชิญกับกำแพงภาษี 10% ทันที ทำให้ราคาสูงขึ้นในสายตาผู้บริโภคชาวอเมริกัน และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เอง กลุ่มสินค้าที่น่าเป็นห่วงคือ อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง, และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
- ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทาน (Indirect Catastrophe) นี่คือแผลที่ใหญ่และลึกที่สุดสำหรับประเทศไทย สินค้าส่งออกจำนวนมากของเราไม่ได้ถูกส่งไปเป็นสินค้าสำเร็จรูป แต่เป็น “ชิ้นส่วนและวัตถุดิบกลางน้ำ” ที่ถูกส่งไปยังโรงงานในประเทศจีนเพื่อประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย (เช่น iPhone, แล็ปท็อป, ชิ้นส่วนรถยนต์) ก่อนจะถูกส่งออกไปยังสหรัฐฯ เมื่อสินค้าสำเร็จรูปจากจีนโดน กำแพงภาษี 60% ย่อมทำให้ความต้องการสินค้าจากจีนในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างฮวบฮาบ และส่งผลกระทบย้อนกลับมาเป็นทอดๆ (Ripple Effect) ทำให้โรงงานในจีนลดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, แผงวงจร, และชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทย นี่คือหายนะที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้าง ห่วงโซ่อุปทาน ที่ผูกกันอย่างซับซ้อน
เปิดลิสต์ 5 กลุ่มสินค้าไทยที่เสี่ยงสูงสุดจากนโยบายภาษีทรัมป์
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น นี่คือกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกของไทยที่มีความเปราะบางสูงสุดต่อพายุ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ระลอกใหม่
- คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและเสี่ยงที่สุด เพราะไทยเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และแผงวงจรรายใหญ่ที่ส่งให้โรงงานประกอบในจีน
- ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ ไทยเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ป้อนให้กับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมถึงจีน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เช่น เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น ที่มีชิ้นส่วนผลิตในไทยและประกอบในจีน
- ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์พลาสติกแปรรูปต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน
- เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ เป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่อยู่ในหลายอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ
เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนและแนวทางรับมือจากกระทรวงพาณิชย์
ความกังวลจากภาคเอกชนไทยอยู่ในระดับสูง นายกสมาคมต่างๆ ได้ออกมาแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า “นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ” และเรียกร้องให้ภาครัฐมีมาตรการเชิงรุก
ด้าน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ได้เริ่มเคลื่อนไหว โดยวางแนวทางรับมือเบื้องต้นไว้หลายด้าน
- การทูตเชิงรุก เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอรับการยกเว้นในบางรายการสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและไม่ได้เป็นการแข่งขันกับอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ โดยตรง
- เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) การเร่งสรุป FTA กับสหภาพยุโรป (EU) และหาคู่ค้าใหม่ๆ ในตะวันออกกลางและแอฟริกา กลายเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อกระจายความเสี่ยง
- ส่งเสริมการย้ายฐานการผลิต พยายามดึงดูดบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนให้มาลงทุนในประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส (Trade Diversion)
ไทยควรรับมือสงครามการค้าอย่างไร? ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอด
จากบทเรียนในอดีตและสถานการณ์ปัจจุบัน คำถามสุดท้ายที่ต้องตอบคือ ไทยควรรับมือสงครามการค้าอย่างไร? ผู้เชี่ยวชาญเสนอทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ดังนี้
- กระจายตลาดส่งออก (Market Diversification) ลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ และจีนอย่างจริงจัง
- ยกระดับสินค้า (Product Upgrading) พัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูง เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในด้านคุณภาพ ไม่ใช่แค่ราคา
- สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Strengthening) กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
(บทสรุป Conclusion)
นโยบาย ภาษีทรัมป์ และการปะทุของ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ระลอกใหม่ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นพายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวและพร้อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องของคนไทยผ่านภาคการส่งออก ผลกระทบส่งออกไทย ในครั้งนี้มีความซับซ้อนและรุนแรงกว่าที่เคย จากโครงสร้าง ห่วงโซ่อุปทาน ที่เราเป็นส่วนหนึ่ง การรับมือจึงไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีเดิมๆ อีกต่อไป ความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทยในสมรภูมินี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว, การมองหาโอกาสในวิกฤต, และการดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับอย่างชาญฉลาด ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของ เศรษฐกิจโลก ที่จะกลายเป็น “ความปกติใหม่” ในทศวรรษข้างหน้า
แหล่งที่มาจาก : immersia