สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ทั่ววงการอากาศยานไร้คนขับ ด้วยการประกาศเตรียมบังคับใช้ “กฎระเบียบโดรนใหม่” ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กันยายน 2568 นี้ กฎเกณฑ์ฉบับใหม่นี้มาพร้อมกับข้อบังคับที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการกำหนดให้โดรนทุกลำ (น้ำหนักเกิน 250 กรัม) ต้องมีระบบบ่งชี้ตัวตนระยะไกล หรือ “Remote ID” ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่ส่งผลกระทบโดยตรงในวงกว้าง ตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไป, Content Creator, ช่างภาพมืออาชีพ ไปจนถึงภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม บทความนี้จะวิเคราะห์ทุกมิติของประกาศฉบับนี้ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่าใครจะได้รับผลกระทบอย่างไร และทางออกของผู้ใช้งานในยุคที่ท้องฟ้ามี ‘ป้ายทะเบียนดิจิทัล’ คืออะไร
สรุปสาระสำคัญ ‘กฎระเบียบโดรนใหม่’ พ.ศ. 2568 เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงเล็กน้อย แต่คือการยกเครื่องมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงในการบินโดรนของประเทศไทย โดยมีประเด็นหลักที่ผู้ครอบครองและนักบินโดรนทุกคนต้องทราบ ดังนี้
- การบังคับใช้ Remote ID นี่คือหัวใจสำคัญของกฎระเบียบใหม่ โดรนที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 250 กรัมขึ้นไป จะต้อง สามารถส่งสัญญาณ Remote ID ซึ่งเป็นข้อมูลระบุตัวตนของโดรนและตำแหน่งของนักบินแบบเรียลไทม์ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้
- การปรับปรุงกระบวนการขึ้นทะเบียน จะมีการนำระบบ ขึ้นทะเบียนโดรน กพท แบบออนไลน์เต็มรูปแบบมาใช้ เพื่อให้การลงทะเบียนมีความรวดเร็วและเป็นศูนย์กลางข้อมูลแห่งเดียวที่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลเจ้าของกับข้อมูล Remote ID ของโดรน
- การปรับปรุงเขตห้ามบิน (No-Fly Zone) มีการทบทวนและกำหนดพื้นที่ห้ามบินเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ความมั่นคงสูง เช่น เขตพระราชฐาน, ทำเนียบรัฐบาล, สนามบิน, และสถานที่ราชการสำคัญ ซึ่งจะมีการบังคับใช้ Geofencing ที่เข้มงวดขึ้น
- การจำแนกประเภทโดรนและผู้ใช้งาน มีการแบ่งประเภทผู้ใช้งานและโดรนที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อข้อกำหนดด้านใบอนุญาตและการประกันภัยที่แตกต่างกันไปในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อจัดระเบียบท้องฟ้า ป้องกันการนำโดรนไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน
Remote ID โดรนคืออะไร? ทำไมจึงกลายเป็นหัวใจของ ‘กฎหมายโดรน 2568’
หลายคนอาจยังสงสัยว่า Remote ID โดรนคืออะไร? หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด Remote ID ก็เปรียบเสมือน “ป้ายทะเบียนรถยนต์ดิจิทัลสำหรับโดรน”
มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้โดรนสามารถส่งสัญญาณวิทยุ (ผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth) ที่บรรจุข้อมูลสำคัญออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ทำการบิน ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่
- หมายเลขซีเรียลของโดรน
- ตำแหน่งปัจจุบัน, ความสูง และความเร็วของโดรน
- ตำแหน่งของนักบินผู้ควบคุม (หรือจุดที่นำโดรนขึ้นบิน)
ข้อมูลนี้จะถูกส่งออกมาเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ (เช่น กพท., ตำรวจ) หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปที่มีแอปพลิเคชันที่รองรับ สามารถระบุตัวตนของโดรนที่กำลังบินอยู่เหนือศีรษะได้ทันที เหตุผลที่ Remote ID กลายเป็นมาตรฐานสำคัญทั่วโลกและใน กฎหมายโดรน 2568 ของไทยนั้น มีหลายประการ
- ด้านความมั่นคง ป้องกันการใช้โดรนเพื่อการก่อการร้าย, สอดแนมสถานที่สำคัญ หรือลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมาย
- ด้านความปลอดภัยการบิน ช่วยให้ท่าอากาศยานและเครื่องบินพาณิชย์สามารถตรวจจับโดรนที่อาจเป็นอันตรายต่อเส้นทางการบินได้
- ด้านการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว หากมีโดรนบินเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคล สามารถระบุตัวตนเจ้าของเพื่อดำเนินการทางกฎหมายได้ง่ายขึ้น
วิเคราะห์ผลกระทบ เสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานจริง
การมาถึงของ กฎระเบียบโดรนใหม่ สร้างแรงกระเพื่อมต่อผู้ใช้งานในแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป
- กลุ่ม Content Creator, Youtuber และช่างภาพ กลุ่มนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและหนักที่สุด เนื่องจากโดรนคือเครื่องมือทำมาหากินสำคัญ ปัญหาหลักคือ “โดรนรุ่นเก่าต้องขึ้นทะเบียนใหม่ไหม” และจะทำอย่างไรหากโดรนที่มีอยู่ไม่รองรับ Remote ID คำตอบคือต้องปรับตัวสถานเดียว ซึ่งมีทางเลือกไม่มากนัก คือ 1) ซื้อโดรนรุ่นใหม่ที่รองรับ Remote ID มาตั้งแต่โรงงาน หรือ 2) หาซื้อโมดูล Remote ID แบบติดตั้งภายนอก (Broadcast Module) ซึ่งยังมีราคาสูงและมีให้เลือกน้อยในตลาด นี่คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- กลุ่มโดรนเพื่อการเกษตร โดรนเพื่อการเกษตร สมัยใหม่มีบทบาทอย่างสูงในการเพิ่มผลผลิต แต่โดรนเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่และมีราคาแพง ผู้ประกอบการและเกษตรกรต้องแบกรับภาระในการตรวจสอบและปรับปรุงฝูงโดรนของตนให้สอดคล้องกับกฎใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานในระยะสั้น
- กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปและมือใหม่ (Hobbyist) กำแพงการเข้าสู่วงการโดรนจะสูงขึ้น จากเดิมที่แค่ซื้อโดรนและขึ้นทะเบียนก็บินได้ (ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต) ตอนนี้ต้องศึกษาเรื่องเทคนิคและกฎหมายที่ซับซ้อนขึ้น อาจทำให้ความนิยมในการบินโดรนเป็นงานอดิเรกลดลงในช่วงแรก
How-To เช็คลิสต์สิ่งที่นักบินโดรนต้องทำก่อน 1 ก.ย. 68
เพื่อหลีกเลี่ยง ค่าปรับบินโดรน ที่รุนแรง ผู้ครอบครองโดรนทุกคนควรดำเนินการตามเช็คลิสต์ต่อไปนี้
- ตรวจสอบโดรนของคุณ เช็คสเปกโดรนที่คุณมีว่ารองรับ “Standard Remote ID” หรือไม่ โดยดูจากคู่มือหรือเว็บไซต์ของผู้ผลิต
- กรณีโดรนไม่รองรับ
- วางแผนจัดหา “Broadcast Module” สำหรับติดตั้งเพิ่มเติม
- พิจารณาอัปเกรดเป็นโดรนรุ่นใหม่หากจำเป็นและคุ้มค่ากว่า
- เตรียมเอกสารให้พร้อม บัตรประชาชน, ภาพถ่ายโดรน, หมายเลขซีเรียล เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการลงทะเบียนออนไลน์รูปแบบใหม่
- ศึกษากระบวนการ ติดตามประกาศจากเว็บไซต์ กพท. อย่างใกล้ชิด เพื่อเรียนรู้ วิธีขึ้นทะเบียนโดรนออนไลน์ 2568 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวเร็วๆ นี้
- ทบทวนพื้นที่บิน ศึกษาแผนที่ พื้นที่ห้ามบินโดรนในกรุงเทพ และทั่วประเทศฉบับล่าสุดจาก กพท. อย่างละเอียด เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม
บทลงโทษที่ต้องรู้ และอนาคตของอุตสาหกรรมโดรนไทย
การเพิกเฉยต่อกฎระเบียบใหม่มีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก การบินโดรนโดยไม่ขึ้นทะเบียนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ กพท. ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงคือ จำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับสูงสุด 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การจัดระเบียบครั้งนี้จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวม การสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสากลจะเปิดทางไปสู่การใช้งานโดรนในระดับที่ซับซ้อนและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การขนส่งสินค้า (Drone Delivery), การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่, และการใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัยได้อย่างเต็มศักยภาพ
(บทสรุป Conclusion)
กฎระเบียบโดรนใหม่ ที่กำลังจะมาถึง เปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนสำคัญที่บังคับให้วงการโดรนไทยต้องก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แม้ในระยะสั้นจะเต็มไปด้วยความท้าทาย, ภาระค่าใช้จ่าย, และความสับสนของผู้ใช้งาน แต่ในระยะยาว นี่คือรากฐานที่จำเป็นสำหรับการสร้างระบบนิเวศของอากาศยานไร้คนขับที่ปลอดภัย, เป็นระเบียบ, และน่าเชื่อถือ การ ห้ามบินโดรน ที่ไม่เป็นไปตามกฎ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่ายุคแห่งการบินเสรีโดยไร้การกำกับดูแลได้สิ้นสุดลงแล้ว อนาคตของนักบินโดรนและอุตสาหกรรมจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว, การยอมรับเทคโนโลยี, และการเคารพกฎเกณฑ์เพื่อความปลอดภัยของส่วนรวม ซึ่งจะเป็นใบเบิกทางไปสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดรนได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริง
แหล่งที่มาจาก : immersia