ปรากฏการณ์ “ทัวร์ลง” ข้ามชาติกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งบนโซเชียลมีเดีย โดยมีศูนย์กลางที่ VannDa แร็ปเปอร์ซูเปอร์สตาร์ชาวกัมพูชา ประเด็นร้อนที่ว่า “แวนด้า แร็ปเขมร ด่าไทย” เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความขัดแย้งทางความรู้สึกที่หยั่งรากลึกและซับซ้อน บทความนี้ไม่ได้มุ่งตัดสินว่าใครถูกใครผิด หรือมีการ “ด่า” เกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงต้นตอของ ดราม่าไทยกัมพูชา ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สารที่ซ่อนอยู่ในการสื่อสาร และผลกระทบของสงครามไซเบอร์นี้ต่อความสัมพันธ์ของประชาชนสองแผ่นดินในยุคที่เส้นแบ่งพรมแดนเลือนรางลงทุกที
VannDa คือใคร? จากศิลปินท้องถิ่นสู่ไอคอนแห่งชาติกัมพูชา
ก่อนจะวิเคราะห์ดราม่า เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า VannDa ไม่ใช่แค่แร็ปเปอร์ธรรมดา แต่เขาคือปรากฏการณ์ เขาคือใบหน้าของกัมพูชายุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและแรงปรารถนาที่จะประกาศตัวตนบนเวทีโลก ผลงานที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติคือเพลง “Time to Rise” ซึ่งผสมผสานดนตรีฮิปฮอปสมัยใหม่เข้ากับดนตรีและเครื่องดนตรีโบราณของกัมพูชาได้อย่างลงตัว
เนื้อหาในเพลงของเขามักพูดถึงความยากลำบาก การต่อสู้ และความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง สิ่งนี้ทำให้ VannDa กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความหวัง” และ “พลัง” ของคนรุ่นใหม่ในกัมพูชา และทำให้เขามีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้ติดตามหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกการกระทำของเขาถูกจับตามองและมีความหมายมากกว่าศิลปินทั่วไป
จุดกำเนิดของไฟ ถอดรหัสโพสต์และเพลงที่กลายเป็นประเด็น
ต้นเหตุความขัดแย้งแวนด้ากับคนไทย มักมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน คือไม่ได้มาจากการกล่าวถึงประเทศไทยโดยตรง แต่มาจากการ “ตีความ” ของชาวเน็ตไทยต่อเนื้อหาของเขา
- กรณีศึกษาที่ 1 สตอรี่และแคปชั่นที่กำกวม บ่อยครั้งที่ VannDa โพสต์ภาพหรือข้อความที่มีความหมายได้หลายนัย เช่น ภาพที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โบราณ พร้อมแคปชั่นที่พูดถึง “ความเป็นต้นฉบับ” หรือ “ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง” ซึ่งชาวเน็ตไทยมักจะเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นอ่อนไหวเรื่องการ “เคลมวัฒนธรรม” ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ทำให้เกิดการตีความว่าเขากำลังด้อยค่าวัฒนธรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรขอมโบราณ
- กรณีศึกษาที่ 2 เนื้อเพลงที่มีการพาดพิงเชิงสัญลักษณ์ ในบางท่อนของเพลง แม้ไม่มีคำว่า “ประเทศไทย” แต่มีการใช้คำที่สื่อถึง “เพื่อนบ้าน” หรือ “ผู้ที่เคยยิ่งใหญ่” ซึ่งถูกนำมาตีความว่าเป็นการอ้างอิงถึงประเทศไทยในเชิงลบ เพื่อสร้างความชอบธรรมและความยิ่งใหญ่ให้กับเรื่องเล่าของฝั่งตน
- กรณีศึกษาที่ 3 ประเด็น “กุน ขแมร์” vs “มวยไทย” ในช่วงที่มี ดราม่าไทยกัมพูชา เกี่ยวกับการใช้ชื่อ “กุน ขแมร์” ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ VannDa ได้แสดงจุดยืนสนับสนุน กุน ขแมร์ อย่างชัดเจนผ่านโซเชียลมีเดียของเขา ซึ่งแม้จะเป็นสิทธิ์ของเขาในการแสดงความรักชาติ แต่ในสายตาของชาวเน็ตไทยจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ และตอกย้ำภาพลักษณ์ว่าเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย
“ทัวร์ลง” และ “สงครามน้ำลาย” กลไกของชาตินิยมดิจิทัล
เมื่อการตีความว่า “แวนด้า แร็ปเขมร ด่าไทย” ถูกจุดติดขึ้น กลไกของ โซเชียลมีเดีย ก็เริ่มทำงานอย่างเต็มรูปแบบ
- การระดมพล (Mobilization) ชาวเน็ตไทยรวมตัวกันเข้าไปแสดงความคิดเห็นเชิงลบอย่างล้นหลามในพื้นที่โซเชียลของ VannDa หรือที่เรียกกันว่า “ทัวร์ลง”
- การตอบโต้ (Counter-Attack) ชาวเน็ตกัมพูชาเข้ามาปกป้องศิลปินของตน และตอบโต้ด้วยข้อมูลหรือความคิดเห็นจากมุมของฝั่งตน
- การขยายวง (Amplification) อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มจะยิ่งนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันนี้ให้คนเห็นมากขึ้น ทำให้ดราม่าลุกลามจากคนกลุ่มเล็กๆ ไปสู่ระดับสาธารณะในวงกว้าง
- การสร้างคู่ขัดแย้ง (Polarization) เนื้อหาถูกผลิตซ้ำและบิดเบือนไปจากจุดเริ่มต้น จนท้ายที่สุดเหลือเพียงการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย “เรา” กับ “เขา” โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงเบื้องต้น
อีกด้านของความสัมพันธ์ เมื่อ F.HERO เคยร่วมงานกับ VannDa
ท่ามกลางความขัดแย้งที่ร้อนระอุ หลายคนอาจลืมไปว่า VannDa เคยมีผลงานร่วมกับแร็ปเปอร์เบอร์ต้นของไทยอย่าง F.HERO ในเพลง “RUN THE TOWN” ซึ่งเป็นการร่วมมือที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้ Soft Power เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและประชาชนของสองชาติไม่ได้มีเพียงมิติของความขัดแย้ง แต่ยังมีมิติของความร่วมมือและความชื่นชมซึ่งกันและกันอยู่ด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พื้นที่สื่อของความร่วมมือมักจะถูกเสียงของความขัดแย้งกลบไปจนหมด
บทสรุป ก้าวข้ามสงครามไซเบอร์ด้วยความเข้าใจ
ท้ายที่สุดแล้ว ปรากฏการณ์ “แวนด้า แร็ปเขมร ด่าไทย” คือภาพสะท้อนที่ซับซ้อนของบาดแผลทางประวัติศาสตร์, ความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์, และพลังของ ชาตินิยม ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การมุ่งเอาชนะกันบนคีย์บอร์ดอาจให้ความสะใจชั่วครู่ แต่ไม่ได้นำไปสู่ทางออกที่สร้างสรรค์หรือความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ทางออกอาจไม่ได้อยู่ที่การเรียกร้องให้ VannDa หยุดสื่อสารในแบบของเขา หรือการห้ามชาวเน็ตไทยไม่ให้รู้สึก แต่คือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางปัญญา” ให้กับผู้ใช้โซเชียลมีเดียของทั้งสองฝั่ง ให้สามารถเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณ, แยกแยะระหว่างเจตนาและการตีความ, และตระหนักอยู่เสมอว่าสงครามไซเบอร์ที่ดุเดือด ไม่เคยสร้างผู้ชนะที่แท้จริง มีแต่จะทิ้งรอยแผลไว้ใน ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในโลกแห่งความเป็นจริงให้ลึกกว่าเดิม
แหล่งที่มาจาก : immersia