ท่ามกลางเสียงกึกก้องของปืนใหญ่และห่ากระสุนที่โปรยปรายราวกับสายฝน ณ สมรภูมิชายแดนปราสาทตาควายเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 เหล่าชายชาติทหารในเครื่องแบบประดับ “หมวกแดง” อันเป็นเอกลักษณ์ ได้ยืนหยัดต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไทย พวกเขาคือ “ทหารกล้า” จากกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หน่วยรบที่ถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์การรบสมัยใหม่ของไทย บทความนี้จะขอย้อนรอยมหากาพย์แห่งความเสียสละ เพื่อเชิดชูเกียรติวีรกรรมของเหล่า “ผู้พิทักษ์ราชา” ที่คนไทยไม่ควรลืม
เรื่องราวของ ยุทธการปราสาทตาควาย ไม่ใช่เป็นเพียงบันทึกการสู้รบ แต่คือตำนานที่เล่าขานถึงความกล้าหาญ, ความรักชาติ, และความมีวินัยของทหารไทยที่พร้อมสละได้แม้ชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดทุกตารางนิ้ว มันคือเรื่องราวที่ควรค่าแก่การจดจำและส่งต่อ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงราคาของสันติภาพและอธิปไตยที่บรรพบุรุษและเหล่า วีรบุรุษ ได้รักษาไว้
เปิดแฟ้มประวัติศาสตร์ ย้อนรอย “ยุทธการปราสาทตาควาย” เมษายน 2554
ความขัดแย้งบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดสุรินทร์ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายน 2554 โดยมีชนวนเหตุมาจากการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนเหนือปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณแนวพรมแดน
- ลำดับเหตุการณ์
- 22 เม.ย. 54 เริ่มมีการปะทะกันด้วยอาวุธเบา ก่อนจะบานปลายเป็นการใช้อาวุธหนัก เช่น เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ เข้าใส่กัน
- 23-28 เม.ย. 54 การสู้รบดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและดุเดือด กำลังทหารจาก กองทัพภาคที่ 2 โดยมี ร.31 รอ. เป็นหน่วยรบหลักในแนวหน้า ได้ทำการตรึงกำลังและตอบโต้อย่างหนักแน่นเพื่อรักษาที่มั่นสำคัญไว้
- จุดยุทธศาสตร์ การสู้รบมีเป้าหมายเพื่อควบคุมพื้นที่สูงข่มและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์รอบๆ กลุ่มปราสาท โดยเฉพาะปราสาทตาควาย
- การหยุดยิง หลังจากการสู้รบยืดเยื้อนานหลายวัน ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงในระดับผู้บังคับบัญชาภาคสนาม และนำไปสู่การเจรจาในระดับที่สูงขึ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
แม้การสู้รบจะยุติลง แต่ภาพความกล้าหาญของทหารไทยที่ยืนหยัดปกป้องพื้นที่ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบและกดดันอย่างมหาศาล ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
“ร.31 รอ. ผู้พิทักษ์ราชา” พวกเขาคือใคร?
เพื่อที่จะเข้าใจถึงวีรกรรมที่เกิดขึ้น เราต้องรู้จักหน่วยรบที่เป็นหัวใจของยุทธการครั้งนี้เสียก่อน
กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) เป็นหน่วยรบพิเศษชั้นยอดของกองทัพบกไทย มีที่ตั้ง ณ จังหวัดลพบุรี และเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)
- ทหารหมวกแดง (Red Berets) เป็นฉายาที่รู้จักกันดี เนื่องจากกำลังพลทุกนายของหน่วยจะสวมหมวกเบเร่ต์สีแดงเลือดหมู อันเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยรบทหารพลร่ม ซึ่งบ่งบอกถึงการเป็นหน่วยที่ต้องใช้ขีดความสามารถสูง
- หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วทางอากาศ (RDF) ร.31 รอ. คือหน่วยที่ถูกวางให้เป็นกำลังหลักในการตอบโต้ภัยคุกคามทุกรูปแบบอย่างรวดเร็ว สามารถเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการได้ทั้งทางอากาศ, ทางบก, และทางน้ำ กำลังพลทุกนายต้องผ่านการฝึกหลักสูตรส่งทางอากาศ (กระโดดร่ม) และหลักสูตรการรบพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ
- “รักษาพระองค์” การได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดที่กำลังพลทุกนายภาคภูมิใจ และเป็นเครื่องตอกย้ำถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการพิทักษ์ราชบัลลังก์และปกป้องสถาบันหลักของชาติ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ ร.31 รอ. ถูกส่งเข้าไปเป็นกำลังหลักในสมรภูมิที่ยากลำบากและสำคัญที่สุด ณ ปราสาทตาควาย
เสียงจากสมรภูมิ คำบอกเล่าของเหล่า “ทหารกล้า”
แม้เราจะไม่ได้ยินเสียงปืนใหญ่ในวันนี้ แต่คำบอกเล่าจากเหล่าทหารผ่านศึกที่เคยอยู่ใน สมรภูมิ ร.31 รอ. ปราสาทตาควาย ยังคงดังก้องกังวานอยู่ในความทรงจำ
ส.อ. (นามสมมติ) นายทหารชั้นประทวนที่ร่วมรบในครั้งนั้น ได้เล่าผ่านสารคดีพิเศษว่า “บรรยากาศตอนนั้นมันกดดันมากครับ เสียงปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามยิงมาตกใกล้ๆ ฐานเราตลอดเวลา แผ่นดินสะเทือนจนรู้สึกได้ เราต้องอยู่ในหลุมบุคคลตลอดเวลา จะโผล่ขึ้นมาได้ก็แค่ตอนยิงตอบโต้หรือตอนที่เพื่อนเอาข้าวเอาน้ำมาส่ง สิ่งที่ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้คือการมองไปที่ธงชาติไทยที่ปักอยู่บนเนิน เราบอกกันเสมอว่าตราบใดที่ธงผืนนั้นยังอยู่ เราจะไม่มีวันถอยแม้แต่ก้าวเดียว”
“กำลังใจจากผู้บังคับบัญชาสำคัญมาก ท่านจะลงมาเยี่ยมพวกเราถึงในหลุม มาตบไหล่ให้กำลังใจ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สู้เพียงลำพัง เราสู้เพื่อเกียรติของหน่วย ‘ผู้พิทักษ์ราชา’ เราสู้เพื่อคนไทยข้างหลังทุกคน”
คำบอกเล่าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่เข้มแข็งและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของทหารทุกนาย ที่ต้องปฏิบัติภารกิจท่ามกลางความเป็นและความตาย
วิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ รากของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
ความขัดแย้งที่นำไปสู่ยุทธการปราสาทตาควายมีรากฐานมาจากปัญหาการปักปันเขตแดนที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส การตีความแผนที่คนละฉบับ และการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ทับซ้อนบริเวณโบราณสถานสำคัญ ทำให้พื้นที่ชายแดนด้านนี้มีความเปราะบางและพร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
การปะทะในปี 2554 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกองกำลังที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
บทสรุปแห่งวีรกรรมและความสูญเสีย
ยุทธการปราสาทตาควายจบลงด้วยการหยุดยิงและการเจรจา แต่สิ่งที่ทิ้งไว้คือเรื่องราววีรกรรมของทหารไทยที่โลกต้องจารึก และในขณะเดียวกันก็คือความสูญเสียของเหล่า วีรบุรุษ ที่ได้อุทิศชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย
วีรกรรมของเหล่า ทหารกล้า จาก กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ในสมรภูมินี้ ได้กลายเป็นตำนานและเป็นแรงบันดาลใจให้กับทหารรุ่นน้องและคนไทยทุกคน ให้ตระหนักถึงคุณค่าของสันติภาพและอธิปไตยที่ต้องแลกมาด้วยความเสียสละอันใหญ่หลวง
เรื่องราวของพวกเขาคือเครื่องย้ำเตือนว่า แผ่นดินไทยที่เราเหยียบยืนอยู่อย่างสงบสุขในทุกวันนี้ มี “ผู้พิทักษ์” ที่ยอมสละได้ทุกสิ่งเพื่อปกป้องรักษาไว้ และวีรกรรมของพวกเขาสมควรได้รับการยกย่องและจดจำตลอดไป
แหล่งที่มาจาก : immersia