สถานการณ์น่ากังวลในจังหวัดพิจิตร หลังพบการระบาดของ “โรคมือ เท้า ปาก” อย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยล่าสุดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตรเปิดเผยตัวเลขผู้ป่วยสะสมพุ่งสูงเกือบ 1,000 ราย กระจายทั่วทั้ง 12 อำเภอ จนต้องมีคำสั่งปิดสถานศึกษาไปแล้วอย่างน้อย 2 แห่งเพื่อควบคุมการระบาด ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยสำคัญมาถึงผู้ปกครองทั่วประเทศ บทความนี้ไม่เพียงแต่จะรายงานสถานการณ์ล่าสุด แต่จะเป็น “คู่มือฉบับสมบูรณ์” ที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกต้อง ตั้งแต่การป้องกัน, สังเกตอาการ, ไปจนถึงการดูแลรักษา
การระบาดของ โรคมือ เท้า ปาก ในช่วงฤดูฝนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การระบาดในจังหวัดพิจิตรครั้งนี้มีความน่ากังวลเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกระจายตัวเป็นวงกว้าง เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้นในกลุ่ม เด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด
สถานการณ์ล่าสุด “มือ เท้า ปาก ระบาด” หนักทั่วพิจิตร
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 จาก สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร สรุปสถานการณ์ได้ดังนี้
- จำนวนผู้ป่วย พบผู้ป่วยสะสมแล้วทั้งสิ้น 985 ราย
- พื้นที่ระบาด พบผู้ป่วยในทุกอำเภอของจังหวัด แต่พื้นที่ที่พบผู้ป่วยหนาแน่นที่สุดคือ อ.เมืองพิจิตร, อ.ตะพานหิน และ อ.บางมูลนาก
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
- มาตรการควบคุม
- มีการสั่ง ปิดโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงไปแล้วอย่างน้อย 2 แห่ง เป็นเวลา 5-7 วัน เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อและตัดวงจรการระบาด
- สสจ.พิจิตร ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ลงพื้นที่เพื่อควบคุมและให้ความรู้แก่ประชาชน
- ประกาศขอความร่วมมือสถานศึกษาทุกแห่งให้คัดกรองเด็กนักเรียนทุกเช้า หากพบเด็กมีไข้หรืออาการน่าสงสัย ให้แยกเด็กป่วยและแจ้งผู้ปกครองมารับกลับทันที
รู้จัก “โรคมือ เท้า ปาก” ให้ลึกซึ้ง สาเหตุ อาการ และกลุ่มเสี่ยง
เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างถูกต้อง เรามาทำความรู้จักโรคนี้ให้ดีขึ้น
เกิดจากเชื้ออะไร?
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease – HFMD) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม ไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบบ่อยในไทยคือ Coxsackievirus A16 อย่างไรก็ตาม ยังมีสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ Enterovirus A71 (EV-A71) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงทางสมองได้ แม้จะพบได้ไม่บ่อยก็ตาม
อาการโรคมือ เท้า ปาก เป็นอย่างไร? (วิธีสังเกตง่ายๆ)
หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3-6 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการดังนี้
- มีไข้ มักจะมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 1-2 วัน อาจมีอาการอ่อนเพลียและเบื่ออาหารร่วมด้วย
- เจ็บปาก จะเริ่มมีแผลร้อนใน หรือแผลเปื่อยเล็กๆ ในปากบริเวณเหงือก, ลิ้น, และกระพุ้งแก้ม ทำให้เด็กเจ็บปากและไม่อยากกินอาหารหรือน้ำ
- มีผื่นหรือตุ่มน้ำใส จะมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นตาม ฝ่ามือ, ฝ่าเท้า, และอาจพบได้ที่หัวเข่า, ข้อศอก, หรือก้น ตุ่มเหล่านี้มักไม่คัน แต่จะเจ็บเมื่อถูกกดทับ
ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง
โดยส่วนใหญ่แล้วโรคนี้ไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางกรณีที่เกิดจากเชื้อ EV-A71 อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ก้านสมองอักเสบ, สมองอักเสบ, หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นการสังเกตอาการผิดปกติและรีบไปพบแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
คู่มือป้องกันฉบับสมบูรณ์ 7 วิธีปกป้องลูกรักให้ห่างไกลโรค
วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่ดีที่สุดคือการสร้างสุขอนามัยที่ดี นี่คือ 7 วิธีที่ กรมควบคุมโรค แนะนำและผู้ปกครองทุกคนทำได้
- ล้างมือคือหัวใจสำคัญ สอนให้เด็กล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างถูกวิธีบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ, ก่อนรับประทานอาหาร, และหลังกลับจากนอกบ้าน
- ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิว เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิวได้นานหลายชั่วโมง ควรทำความสะอาดของเล่น, โต๊ะ, ลูกบิดประตู, และของใช้ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอ
- เลี่ยงการใช้ของร่วมกัน ไม่ควรให้เด็กใช้แก้วน้ำ, หลอดดูด, ช้อนส้อม, หรือผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น
- รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่เสมอ และใช้ช้อนกลางเมื่อทานอาหารร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น สนามเด็กเล่นในห้างสรรพสินค้า, สวนสนุก
- สวมหน้ากากอนามัย หากจำเป็นต้องไปในที่ชุมชน หรือมีคนในบ้านป่วย ควรสอนให้เด็กสวมหน้ากากอนามัย
- “ป่วยต้องหยุด” นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด หากพบว่าลูกมีอาการป่วย ต้องให้หยุดเรียนทันทีเพื่อพักรักษาตัวและป้องกันการนำเชื้อไปแพร่ให้เพื่อนที่โรงเรียน
เมื่อลูกติดเชื้อ ขั้นตอนการดูแลที่ถูกต้อง และสัญญาณอันตราย
หากมั่นใจว่า ลูกเป็นมือเท้าปากทำอย่างไร? สิ่งแรกคือตั้งสติ เพราะโรคนี้ส่วนใหญ่รักษาตามอาการและหายได้เอง
การดูแลรักษาตามอาการที่บ้าน
- ลดไข้ ให้ยาลดไข้พาราเซตามอลตามน้ำหนักตัวของเด็ก และเช็ดตัวเพื่อช่วยลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน)
- บรรเทาอาการเจ็บปาก ให้เด็กรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ที่เย็นๆ เช่น ไอศกรีม, โยเกิร์ต, หรือวุ้น เพื่อช่วยลดอาการเจ็บแผลในปาก
- ป้องกันภาวะขาดน้ำ กระตุ้นให้เด็กจิบน้ำหรือนมบ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ให้เด็กได้นอนหลับพักผ่อนมากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวและสร้างภูมิคุ้มกัน
4 สัญญาณอันตรายที่ห้ามมองข้าม! ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
- ไข้สูงไม่ลด มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 48 ชั่วโมง
- อาเจียนรุนแรง อาเจียนบ่อยครั้ง ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือน้ำได้เลย
- ซึมลงหรือไม่รู้สึกตัว เด็กดูอ่อนเพลียมาก, ซึมลง, หรือมีอาการชักกระตุก
- หอบเหนื่อย มีอาการหายใจเร็ว, หอบ, หรือดูเหนื่อยผิดปกติ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) จากผู้ปกครอง
- Q โรคมือเท้าปากกี่วันหาย?
- A โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 7-10 วัน
- Q เป็นแล้วเป็นอีกได้ไหม?
- A เป็นได้อีก เพราะเชื้อไวรัสที่ก่อโรคมีหลายสายพันธุ์ การเป็นครั้งแรกจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นๆ แต่ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์อื่นได้
- Q ผู้ใหญ่ติดได้หรือไม่?
- A ติดได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าเด็ก
บทสรุป “การ์ดอย่าตก” คือวัคซีนที่ดีที่สุด
สถานการณ์ มือ เท้า ปาก ระบาด ที่จังหวัดพิจิตร เป็นเครื่องเตือนใจสำคัญว่าโรคติดเชื้อในเด็กยังคงเป็นภัยใกล้ตัวที่ต้องเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอ แม้ข่าวการระบาดและตัวเลขผู้ป่วยอาจสร้างความกังวล แต่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและมาตรการป้องกันด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลคือ “วัคซีน” ที่ดีที่สุดที่เราทุกคนสามารถสร้างได้
สำหรับผู้ปกครองทั่วประเทศ การดูแลสุขอนามัยของบุตรหลานอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูฝนนี้ การสังเกตอาการผิดปกติ และการปฏิบัติตามหลัก “ป่วยต้องหยุด” จะเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เด็กๆ ของเราผ่านพ้นฤดูการระบาดนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
แหล่งที่มาจาก : immersia