Breaking
1 Aug 2025, Fri

ปราสาทตาควาย สมรภูมิการทูตครั้งใหม่ เจาะลึกเกมชิงมรดกโลกบนพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

ปราสาทตาควาย

ท่ามกลางความเงียบสงบของพงไพรชายแดนจังหวัดสุรินทร์ “ปราสาทตาควาย” ปราสาทหินโบราณที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลากว่าพันปี กำลังกลับกลายเป็นศูนย์กลางของความตึงเครียดระลอกใหม่ระหว่างไทยและกัมพูชา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงปืนหรือการเผชิญหน้าของกำลังทหาร หากแต่เป็น “สมรภูมิเชิงวัฒนธรรมและการทูต” ที่ซับซ้อน เมื่อกัมพูชาเดินหน้าเต็มกำลังในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับนานาชาติ พร้อมเป้าหมายสูงสุดคือการเสนอชื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ความเคลื่อนไหวนี้กำลังท้าทายอธิปไตยและจุดยืนของไทยบนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ยังคงไร้ข้อยุติ

เทวบรรพต.."ปราสาทตาควาย"  ประจักษ์พยานถึงความเชื่อศรัทธาของผู้คนในอดีตที่มีต่อเทพเจ้า

“ตาควาย” จุดเปลี่ยนใหม่ จากโบราณสถานสู่เครื่องมือทางยุทธศาสตร์

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนที่เคยเป็นพื้นที่พิพาทให้กลายเป็น “พื้นที่แห่งการพัฒนาและสันติภาพ” ผ่านนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยมีกลุ่มปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควายเป็นหมุดหมายสำคัญ

ความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมปรากฏผ่านสื่อของกัมพูชาและรายงานจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มีการตัดถนนลาดยางอย่างดีเข้าถึงตัวปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธมอย่างสะดวกสบาย ซึ่งแตกต่างจากฝั่งไทยที่การเข้าถึงยังคงเป็นเส้นทางยุทธวิธีของทหาร
  • การประชาสัมพันธ์เชิงรุก หน่วยงานการท่องเที่ยวของกัมพูชาได้โปรโมต “ทัวร์ปราสาทชายแดน” โดยเชื่อมโยงปราสาทพระวิหาร (Preah Vihear) เข้ากับกลุ่มปราสาทตาเมือน (Ta Muen Group) และปราสาทตาควาย (Ta Kwai) สร้างเรื่องราวการท่องเที่ยวบนแผ่นดินของตน
  • การผลักดันสู่มรดกโลก มีรายงานอย่างต่อเนื่องว่ากัมพูชากำลังเตรียมเอกสารเพื่อเสนอชื่อกลุ่มปราสาทเหล่านี้เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของยูเนสโก (UNESCO) เพื่อพิจารณาเป็นมรดกโลกในอนาคต โดยเป็นการเสนอชื่อแต่เพียงฝ่ายเดียว

การกระทำเหล่านี้ แม้ผิวเผินจะดูเป็นการพัฒนาเพื่อเศรษฐกิจ แต่ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันคือการตอกย้ำอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่ยังคงสถานะเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ไทยและกัมพูชาทำร่วมกันเมื่อปี พ.ศ. 2543

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง ทำไม “ปราสาทตาควาย” จึงเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน?

เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยังรากของปัญหา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” ในคดีปราสาทพระวิหาร

มรดกจากคดีปราสาทพระวิหาร สู่พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.

ในปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกได้มีคำพิพากษาให้ตัว “ปราสาทพระวิหาร” ตั้งอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา โดยยึดตามแผนที่ภาคผนวก 1 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น ซึ่งลากเส้นเขตแดนแตกต่างไปจากหลักสากลที่ยึดสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ระบุชะตากรรมของพื้นที่โดยรอบปราสาทอย่างชัดเจน

ผลที่ตามมาคือ ประเทศไทยยอมรับคำตัดสินเฉพาะตัวปราสาท แต่ยังคงยึดถือแนวสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนที่แท้จริงตามหลักสากล ทำให้เกิดพื้นที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารกลายเป็น “พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน” ซึ่งปราสาทตาควายและกลุ่มปราสาทตาเมือนอีก 3 หลัง (ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊จ, ปราสาทบายกรีม) ตั้งอยู่ในบริเวณที่คาบเกี่ยวหรือใกล้เคียงกับพื้นที่นี้อย่างยิ่ง

เทพมนตรี' งัดแผนที่ฟาด 'กัมพูชา' ลากเส้นลงทะเล รุกล้ำเขตแดนไทย เรียกว่า  'เส้นเก๊'

MOU 2543 ข้อตกลงที่ยังไร้บทสรุป

เพื่อลดความตึงเครียดและหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543)” ซึ่งมีสาระสำคัญคือ

  1. ยอมรับว่ามีปัญหาเขตแดนที่ต้องแก้ไขร่วมกัน
  2. จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC)
  3. ห้ามมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้

ข้อ 3 นี้เองที่กลายเป็นหัวใจของปัญหาในปัจจุบัน การที่กัมพูชาเข้าไปพัฒนาพื้นที่ปราสาทตาควายอย่างเต็มรูปแบบ ฝ่ายไทยจึงมองว่าอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของ MOU 2543

“การดำเนินการใดๆ แต่เพียงฝ่ายเดียวในพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วมกัน ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง และอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ” – แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศ

วิเคราะห์ท่าทีไทย การทูตเชิงรุกและความท้าทายด้านความมั่นคง

ท่าทีของฝ่ายไทยต่อความเคลื่อนไหวของกัมพูชาประกอบด้วยหลายมิติ ทั้งทางการทูตและความมั่นคง

  • ช่องทางการทูต รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการประท้วงและแสดงความกังวลผ่านช่องทางทางการทูตอย่างเป็นทางการหลายครั้ง โดยย้ำถึงข้อตกลงใน MOU 2543 และเรียกร้องให้กัมพูชายุติการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่แต่เพียงฝ่ายเดียว
  • การเฝ้าระวังของกองทัพ ในพื้นที่ชายแดน กองกำลังสุรนารีและกรมแผนที่ทหารยังคงปฏิบัติภารกิจเฝ้าระวังและลาดตระเวนอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาอธิปไตยและสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่ยังคงยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
  • การรวบรวมข้อมูล ฝ่ายไทยกำลังรวบรวมหลักฐานและข้อมูลทุกด้าน ทั้งภาพถ่ายดาวเทียม รายงานภาคพื้นดิน และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาในเวที JBC และชี้แจงต่อประชาคมโลกหากจำเป็น

ความท้าทายของไทยคือการรักษาสมดุลระหว่างการยืนยันสิทธิ์ของตนเองกับการรักษาสัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง

เกมชิง “มรดกโลก” ผลกระทบและความท้าทายบนเวทีนานาชาติ

หากกัมพูชาเดินหน้าเสนอชื่อปราสาทตาควายและกลุ่มปราสาทตาเมือนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวสำเร็จ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

  1. การยอมรับในเชิงสัญลักษณ์ การได้รับการรับรองจากองค์กรระดับโลกอย่าง ยูเนสโก (UNESCO) จะเปรียบเสมือนการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาเหนือดินแดนดังกล่าวในสายตาชาวโลก
  2. ความซับซ้อนในการเจรจา สถานะมรดกโลกจะทำให้การเจรจาปักปันเขตแดนในอนาคตมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะจะมีตัวแปรจากองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
  3. บทเรียนจากกรณีปราสาทพระวิหาร ไทยเคยมีประสบการณ์มาแล้วจากการที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี 2551 ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลายจนถึงการปะทะตามแนวชายแดน

แนวทางที่เป็นไปได้สำหรับไทยคือการชิงเสนอ “การขึ้นทะเบียนร่วมกัน (Joint Nomination)” ในฐานะมรดกวัฒนธรรมข้ามพรมแดน (Transboundary Property) ซึ่งเป็นแนวทางที่ยูเนสโกสนับสนุน เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันของทั้งสองชาติ แต่นี่เป็นเส้นทางที่ต้องอาศัยความไว้วางใจและความร่วมมือทางการเมืองในระดับสูง

นายกฯอ้างไม่เคยพูดรับคำตัดสินศาลโลก

เสียงจากพื้นที่และมุมมองนักวิชาการ

รศ.ดร. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ให้ทัศนะว่า

“ปราสาทตาควายและตาเมือนเป็นภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์ร่วมในอดีต แต่ปัจจุบันมันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขันในการสร้างชาติสมัยใหม่ การกระทำของกัมพูชาคือการใช้มรดกวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมในการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่พวกเขาเคยใช้ได้ผลมาแล้วกับปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยจำเป็นต้องมีการทูตเชิงรุกที่ชัดเจนและมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศรองรับอย่างแน่นหนา”

ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย แม้จะดำเนินชีวิตตามปกติ แต่ก็มีความกังวลลึกๆ ต่อสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ พวกเขาหวังเพียงให้พื้นที่ชายแดนสงบสุขและสามารถทำมาหากินได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องการให้มรดกของบรรพบุรุษกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งอีกครั้ง

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต ทางออกอยู่ที่ไหน?

สถานการณ์ “ปราสาทตาควาย” ในวันนี้ คือภาพจำลองของความท้าทายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ มันไม่ใช่แค่เรื่องของปราสาทหินโบราณ แต่เป็นเรื่องของอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ และศักดิ์ศรีบนเวทีระหว่างประเทศ

อนาคตของปราสาทตาควายและพื้นที่ทับซ้อนแห่งนี้วางอยู่บนทางสามแพร่ง

  1. ความขัดแย้งยืดเยื้อ หากทั้งสองฝ่ายยังคงยืนกรานในจุดยืนของตนและขาดการเจรจาที่มีประสิทธิภาพ ความตึงเครียดจะยังคงดำเนินต่อไป และอาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
  2. การเจรจาผ่านกลไก JBC ทางออกที่ดีที่สุดคือการกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อเร่งรัดการสำรวจและปักปันเขตแดนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยยึดผลประโยชน์ร่วมกันเป็นที่ตั้ง
  3. การพัฒนาร่วมกัน ในระยะยาว การเปลี่ยน “สมรภูมิ” ให้เป็น “ตลาด” ผ่านแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ชายแดนและมรดกวัฒนธรรมร่วมกัน อาจเป็นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ

โจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลไทยในขณะนี้ คือจะใช้เครื่องมือทางการทูต กฎหมาย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ พร้อมกับรักษามิตรภาพกับเพื่อนบ้าน และเปลี่ยนมรดกแห่งความขัดแย้งนี้ให้กลายเป็นมรดกแห่งสันติภาพและความร่วมมืออย่างแท้จริงสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป

แหล่งที่มาจาก : immersia